อย่าให้ใครว่าไทย ‘ขี้โกง’

7 ปี หลักสูตรโตไปไม่โกง ชี้พฤติกรรมเด็กไทยเปลี่ยน !!
มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย หนึ่งในภาคีเครือข่ายอนาคตไทยที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ “อย่าให้ใครว่าไทย” ในเรื่อง “การโกง” พบพฤติกรรมคุณธรรมและความดีของเด็กไทย 5 ประการ มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง วางเป้าหมายการอบรมครูโรงเรียนทั่วประเทศเพิ่ม พร้อมนำเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ “e-learning” เป็นตัวช่วยขยายวงกว้าง
ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ประธานคณะผู้จัดทำหลักสูตรโตไปไม่โกง มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย หนึ่งในเครือข่ายอนาคตไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อร่วมดำเนินกิจกรรมรณรงค์ระดับประเทศ Thailand Campaign ภายใต้ชื่อ "อย่าให้ใครว่าไทย" มุ่งกระตุ้นให้คนไทยปรับเปลี่ยนทัศนคติลดเลิกพฤติกรรมเชิงลบ (โกง ฟุ้งเฟ้อ มักง่าย ขาดสติ ) โดย 6 องค์กรหลักผู้ริเริ่ม ได้แก่ มูลนิธิมั่นพัฒนา สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและสภาหอการค้าไทย ปัจจุบันมีภาคีเครือข่ายรวม 105 องค์กร กล่าวว่า นโยบายของมูลนิธิฯ ต้องการให้คนไทยมีค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยเชื่อว่าความโปร่งใสจะช่วยแก้ปัญหาสังคมไทยในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ความซื่อตรง ไม่หมกเม็ด ตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง ความเป็นธรรมในสังคมเหล่านี้ จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและปรองดอง
“สำหรับการป้องกันนิสัยการโกงเราได้มีการพยายามปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กชั้นอนุบาล ประถม มัธยม ไปจนถึงอุดมศึกษาเช่น โครงการบัณฑิตไม่โกง มีการเชิญชวนนิสิตนักศึกษา มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เข้าค่าย “ไม่โกง” จากการพูดคุยกับนิสิตนักศึกษาในค่ายทำให้พบลักษณะการโกงหลายอย่างมากในชีวิตของนิสิตนักศึกษา เราจึงมีแนวคิดที่จะกำหนดคำนิยามการโกงของคนไทยทุกระดับใหม่เพื่อจะนำมาหาแนวทางป้องกันการโกงได้ดียิ่งขึ้น”
การเข้าร่วมเป็นเครือข่ายอนาคตไทยโดยร่วมขับเคลื่อนโครงการอย่าให้ใครว่าไทย ดร.จุรี มีความคิดเห็นว่า เป็นโครงการที่ดีมาก เพราะทำให้คนในชาติเห็นคุณค่าและเกิดความรักชาติ ที่จะตั้งใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่พึงประสงค์เพื่อไม่ให้ใครหรือชาติใดมาว่าคนไทยได้ ซึ่งการที่แต่ละเครือข่ายสังคมมาร่วมมือกันตามความถนัดของตัวเองในการรณรงค์ครั้งนี้ถือเป็นการช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นเชิงบวกมากยิ่งขึ้น
“หลักสูตรโตไปไม่โกง โดยภาพรวมแล้วสามารถช่วยให้สังคมดีขึ้น โดยเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการเกิดตระหนักรู้ผิดชอบมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนการต่อต้านการโกง นอกจากการอบรมครูเพื่อเป็นผู้นำเด็กแล้ว โครงการยังมีเครื่องมือต่างๆ เป็นสื่อการสอนหลายช่องทางเพื่อช่วยครู เช่น บทเรียนต่าง ๆ รูปภาพ เทคนิคการเล่านิทาน การใช้ e-learning ทำให้ครูมีเครื่องมือสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กในเรื่องการไม่โกง ซึ่งในอนาคตเรามีความคิดจะจัดการประกวดโรงเรียนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดสิ่งใหม่ๆในการสอนเด็กให้ไม่โกง และให้รางวัล เพื่อเป็นกำลังใจแก่ครูในโรงเรียนอีกด้วย”
หลักสูตรการเรียนการสอน “โตไปไม่โกง”
ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย หนึ่งในคณะผู้จัดทำหลักสูตรโตไปไม่โกง กล่าวถึงการดำเนินโครงการ “โตไปไม่โกง” ว่า เริ่มดำเนินการครั้งแรกเมื่อปี 2553 ถึงวันนี้เป็นเวลา 7 ปีแล้ว ที่ได้มีการออกแบบและจัดทำเนื้อหาหลักสูตรโตไปไม่โกง และอบรมครูผู้สอน เพื่อนำไปใช้จัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ไปจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยดำเนินโครงการกับโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครก่อน จนกระทั่งปัจจุบันได้ขยายผลนำหลักสูตรไปสอนในโรงเรียนทั่วประเทศ
เนื้อหาของหลักสูตรโตไปไม่โกง นั้น เป็นการมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกและคุณค่าของความดีให้แก่เด็กและเยาวชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ครอบคลุมคุณค่าความดี 5 ประการ ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต การมีจิตสาธารณะ ความเป็นธรรมทางสังคม การกระทำอย่างรับผิดชอบ และการเป็นอยู่อย่างพอเพียง
“เรามองว่าแก่นหลักของหลักสูตรโตไปไม่โกง สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยปัจจุบันอย่างมาก เมื่อปลูกฝังจิตสำนึกและคุณค่าความดีทั้ง 5 ประการนี้ให้แก่เด็กและเยาวชนแล้ว จะทำให้การโกงหรือทุจริตเกิดขึ้นในสังคมลดลง เหมือนกับการสร้างภูมิคุ้มกันจากเชื้อโรคหรือการปลูกดอกไม้ในใจเด็ก เมื่อโตไปก็จะไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่โกง เป็นคนดีของสังคม”
สำหรับวิธีการเรียนการสอน ดร.กนกกาญจน์ เล่าว่า จะแตกต่างกันไปตามวัยของเด็กและระดับชั้นเรียน การเรียนการสอนเด็กเล็กระดับอนุบาล-ประถมต้น จะเน้นให้เด็กมีจิตสำนึกโดยวิธีการซึมซับอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีตัวช่วย เช่น การอ่าน/เล่านิทานดี ๆ ให้ฟังเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และสร้างความเข้าใจเรื่องการเสียสละ เห็นโทษของการโกหก รวมทั้งการตอกย้ำผ่านกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมต่าง ๆ ทางศิลปะ การวาดรูปบ่อย ๆ เช่น วาดรูปเด็กเลี้ยงแกะ เพื่อย้ำเรื่องโทษของการโกหก หรือการร้องเพลง เด็กเอ๋ยเด็กดี เพลงโตไปไม่โกง การเล่นละคร เล่นเกม และสื่ออื่น ๆ ส่วนเด็กประถมปลาย (ป.4-6) จะเน้นสอนทักษะการใช้ชีวิตและการคิดวิเคราะห์ โดยการใช้บทบาทสมมติ เพื่อให้เด็กคิดหาทางออกแก้ไขตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างถูกต้อง รวมถึงการให้อ่านหนังสือที่มีเนื้อหายาวขึ้น เช่น วรรณกรรมดี ๆ อย่างเรื่อง แก้วจอมแก่น, บันทึกของแอนแฟรงค์, ชาร์ลีกับโรงงานช็อกโกแลต เพื่อให้เด็กเห็นการทำความดีและเปิดโลกกว้างเด็กมากขึ้น
ส่วนในระดับมัธยม ดร.กนกกาญจน์ เล่าว่า แนวการเรียนการสอนเด็กโตจะเน้นการคิดเชิงวิพากษ์ด้านจริยธรรมให้มากขึ้น โดยจะมี “ห้องขบคิด” และมีครูผู้สอนสร้างโจทย์จริยธรรมและสถานการณ์ให้คิดผ่านการเล่นละคร หรือการทำโครงการ เป็นต้น เพื่อให้เด็กรู้จักการคิดอย่างมีเหตุมีผล
“ช่วงเด็กเล็ก ๆ เราจะวางพื้นฐานการสร้างจิตสำนึกว่าอะไรที่ดีและไม่ดี ต้องให้รู้สึกได้ว่าสิ่งใดทำถูกหรือไม่ถูก โดยใช้สื่อการเรียนรู้ให้เด็กรู้สึกสนุก แต่พอเด็กโตจะต้องฝึกให้คิดอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น เรียกว่า ยิ่งโตยิ่งต้องคิดมีเหตุผล”
นับแต่ดำเนินโครงการโตไปไม่โกงจนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลา 7 ปี ดร.กนกกาญจน์ ให้ข้อมูลว่า โครงการได้มีการจัดฝึกอบรมการใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนหลักสูตร “โตไปไม่โกง” ให้แก่ครูจากโรงเรียนสังกัดกทม. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และครูโรงเรียนคาทอลิกไปแล้ว 6,000 คน ซึ่งในปีนี้ (2559) เรามีเป้าหมายที่จะอบรมครูให้ได้ 800 คน และอบรม Trainer อีก 400 คน ล่าสุดเมื่อวันที่ 6-7 มิถุนายน 2559 ได้จัดการฝึกอบรมการใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนหลักสูตร “โตไปไม่โกง” รุ่นที่ 1/2559 เสร็จสิ้นไปแล้ว
นอกจากการมุ่งอบรมครูให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้แล้ว ขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนโครงการสู่วงกว้างโดยการแนะนำเครื่องมือใหม่ๆ เช่น e-learning เป็นตัวช่วยให้ครูนำไปใช้ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือจากเพื่อนภาคีในทุกวงการที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนงานนี้ให้มากยิ่งขึ้น
“จากการสำรวจและประเมินผลโรงเรียนที่ร่วมโครงการ พบว่า ร้อยละ 80 เห็นผลว่าหลักสูตรโตไปไม่โกงช่วยกระตุ้นสร้างสำนึกให้นักเรียนเกิดการตระหนัก และรับรู้ต่อเรื่องคุณธรรม ความซื่อสัตย์ ได้อย่างรวดเร็ว นักเรียนมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นและโดดเด่นทุกด้าน อย่างเช่น เด็กเล็กแต่เดิมมักชอบทำของหาย แต่หลังจากเด็ก ๆ ได้เรียนรู้หลักสูตรนี้ คุณครูเล่าว่าของหายน้อยลง เพราะเด็กมีความรับผิดชอบมากขึ้น หรือเวลาเก็บของของคนอื่นได้ ก็จะเอามาคืนครู รวมถึงเด็กรู้จักตระหนักถึงประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้น เช่น การช่วยกันปิดน้ำ ปิดไฟ”
ในฐานะครูผู้ได้เข้ารับการอบรมการใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนหลักสูตร “โตไปไม่โกง” รุ่นที่ 1/2559 “ครูวิทยวรรณ ศรีโทหาญ” จากโรงเรียนวัดศรีสุนทร (มิตรภาพ 15) จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า วันแรกที่ได้นำเทคนิคจากการอบรมไปใช้กับเด็กที่โรงเรียน เห็นได้ว่า เด็กมีความสนใจมากขึ้น ส่วนตัวเองจะเป็นแกนนำถ่ายทอดความรู้ให้แก่เพื่อนครูท่านอื่น ๆ ได้เรียนรู้ต่อไป
“หลักสูตรโตไปไม่โกง ถือว่า มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนของครูและนักเรียนอย่างมาก อยากให้ดำเนินโครงการนี้ต่อไป เพื่อให้ครูโรงเรียนอื่น ๆ ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรม เพราะสามารถนำความรู้และเทคนิคการสอนด้านการทำความดี มาปรับใช้กับเด็กและเป็นประโยชน์กับสังคมได้มากมาย”
หลักสูตรโตไปไม่โกง จึงเป็นอีกพลังสำคัญในการขับเคลื่อนแคมเปญ “อย่าให้ใครว่าไทยขี้โกง” ของเครือข่ายอนาคตไทยที่จะปลูกฝังค่านิยม และจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนไทยให้เป็นคนดี และไม่โกง












