มั่นพัฒนา และ ม.มหิดลร่วมสร้างประวัติศาสตร์

มั่นพัฒนา และ ม.มหิดลร่วมสร้างประวัติศาสตร์

เปิดศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา” แห่งแรกของประเทศ

มูลนิธิมั่นพัฒนา ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้ง “ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา” มุ่งพัฒนาคน นักวิจัย ขยายผล ต่อยอดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่องค์ความรู้ระดับสากล

“การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ มนุษย์และโลกอยู่ร่วมกันได้ในระยะยาว  ศาสตร์ของพระราชา ในเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” แนวทางแห่งการพัฒนาที่สมดุล มั่นคง และยั่งยืน จึงสอดคล้องสำหรับโลกในศตวรรษนี้และอนาคต 

เมื่อเร็วๆ นี้มูลนิธิมั่นพัฒนา และมหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานแถลงข่าวความร่วมมือจัดตั้งศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดหลักสูตรปริญญาเอกด้านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ตามศาสตร์พระราชา(Ph.D.in Sustainable Leadership)ในปี 2560 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และหนึ่งเดียวในโลก เพื่อเผยแพร่ความรู้ตามศาสตร์พระราชาสู่สากล

รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการมูลนิธิมั่นพัฒนา กล่าวว่า นับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้กับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นำไปขับเคลื่อนและเผยแพร่ พร้อมนำประสบการณ์จากโครงการพระราชดำริมาประกอบใช้ได้สร้างประโยชน์ให้กับการพัฒนาของไทยมาตลอดหลายสิบปี

หลังจากนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะยกระดับความรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สากล  เนื่องจากองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระสำคัญของการขับเคลื่อนและเป็นเป้าหมายการพัฒนาโลกในอีก 15 ปีข้างหน้า  (Sustainable Development Goal - SDGs 2016-2030)

ดังนั้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้โลกบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด  ซึ่งที่ผ่านมาการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้รับความสนใจในระดับโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา หรือ G-77 ซึ่งมีการเผยแพร่ ผ่านผู้แทนของประเทศสมาชิกที่กำลังเข้ามาศึกษาเรื่องนี้ในไทยอย่างต่อเนื่อง

“อย่างไรก็ตามต้องพัฒนาความรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นความรู้ในระดับสูง และเป็นสากล เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติไม่เฉพาะในประเทศไทย ที่สำคัญคือเราจะต้องนำศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ให้เข้ากับศาสตร์สากล และต้องไม่ลืมศาสตร์ที่เป็นภูมิปัญญาจากท้องถิ่น หรือจากปราชญ์ชาวบ้านมาผสมผสานด้วยดังนั้นสถาบันอุดมศึกษา จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยพัฒนาความรู้ดังกล่าว  ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความสนใจที่จะเข้ามาดำเนินการ เพราะมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นปัญญาของแผ่นดิน และเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับแนวหน้า”

ต่อยอดความรู้-จัดหลักสูตร

ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล  กล่าวถึงความร่วมมือกับมูลนิธิมั่นพัฒนาว่า มหาวิทยาลัยมหิดลมีปณิธานชัดเจนในการเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” และมุ่งมั่นแนวทางการพัฒนาความรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง 

และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนับเป็นหลักที่ทุกภาคส่วนจะนำไปใช้ได้อย่างดีในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะภาคธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดลจึงเล็งเห็นโอกาสในการสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการอย่างยั่งยืน ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดเป็นระบบ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการโดยยึดหลักความยั่งยืนเป็นที่ตั้ง พร้อมที่จะนำความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อไป

รศ.ดร.สุขสรรค์ กันตะบุตร รองคณบดีฝ่ายวิจัย วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลและกรรมการสถาบันมั่นพัฒนา อธิบายว่าศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา (Mahidol Center for Sustainable Development) จะเป็นศูนย์กลางในการผลิตบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และนักวิจัยด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมกับทำหน้าที่สนับสนุนงานวิจัย และสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การบริหารจัดการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อเผยแพร่ความรู้ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ

โดยจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆทั้งในและต่างประเทศ โดยจะเชิญคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาประจำที่ศูนย์แห่งนี้ เพื่อช่วยเผยแพร่ และขยายผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามศาสตร์พระราชาออกไปสู่ระดับสากล

ขณะเดียวกันจะมีการเปิดหลักสูตรปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ด้านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชาอย่างคู่ขนาน ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยผู้เรียนสามารถเลือกที่จะอยู่ในโครงการ Double PhD Degree กับมหาวิทยาลัยแมคควอรี่ (Macquarie University) ที่ประเทศออสเตรเลียโดยผู้เรียนจะได้ปริญญาบัตรจากทั้งสองมหาวิทยาลัย ใช้เวลาศึกษาประมาณ4 ปี ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการนำหลักสูตรเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย เพื่อขออนุมัติ และในปี 2560 จะเปิดรับนักศึกษาเป็นปีแรก จำนวน 10 คน โดยมูลนิธิมั่นพัฒนามอบทุนการศึกษาจำนวน 5 ทุน

สำหรับคุณสมบัติผู้ที่มาเรียนนั้น ในส่วนของผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาต้องคัดเลือกจากผู้ที่สามารถนำความรู้ไปต่อยอดได้อย่างดี ทั้งคนไทยและต่างชาติ ส่วนอีก 5 คน จะรับบุคคลทั่วไป

“เราเปิดรับบุคคลทั่วไป เพียงแต่ขอให้มีความสนใจและเชื่อมั่นในศาสตร์นี้” รศ.ดร.สุขสรรค์ ย้ำว่า ศาสตร์พระราชาเน้นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม

และการให้ความสำคัญกับ “วัฒนธรรม” นับเป็นความแตกต่างของศาสตร์พระราชากับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่พูดถึงในประเทศอื่นๆ เพราะศาสตร์พระราชาเป็นศาสตร์การพัฒนาที่ไม่ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมเหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพัฒนาในพื้นที่ใดก็ตามจะรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่ในพื้นที่นั้นเสมอ

“นั่นเป็นเพราะการรักษาวัฒนธรรม เป็นความหมายเดียวกับ การสร้างความสามัคคีกลมเกลียวในกลุ่มบุคคล อันเป็นกุญแจสำคัญของความยั่งยืน” รศ.ดร.สุขสรรค์ กล่าว