'บิ๊กต่าย'ปัดเป็นคู่ขัดแย้ง 'บิ๊กโจ๊ก' ลั่นไร้ปัจจัยแทรกแทรงเซนออกราชการ

'บิ๊กต่าย'ปัดเป็นคู่ขัดแย้ง 'บิ๊กโจ๊ก' ลั่นไร้ปัจจัยแทรกแทรงเซนออกราชการ

“บิ๊กต่าย” เผยเซ็นคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการชั่วคราว เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกแทรง ยืนยันทำตามหน้าที่ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. และไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร

วันที่ 26 เม.ย.ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวพาดพิงจากประเด็นที่ลงนามคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการชั่วคราว ซึ่งอ้างว่า ขัดกันระหว่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 2547 และ ปี 2565 ว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนในอำนาจหน้าที่ ที่ตนเป็นตำเเหน่งรักษาการ ผบ.ตร. ตนยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 และกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อย่างเคร่งครัดในการพิจารณาข้อเท็จจริงและความร้ายแรงแห่งคดี และในการที่จะนำมาตราใดมาปฏิบัติเป็นเรื่องที่ฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องผ่านการประมวลเรื่องเพื่อเสนอพิจารณาไปตามบทบัญญัติของกฎหมายทุกอย่าง เมื่อตนในฐานะรักษาการฯตัดสินใจที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆแล้วผลที่จะเกิดขึ้นมา ตนก็มีหน้าที่ ชี้แจงหรือแก้ต่างในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งส่วนนี้คิดว่าเป็นปกติ

เช่นเดียวกับที่มองว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ที่ถูกดำเนินการทางวินัยร้ายแรงทุกกรณี ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เท่านั้นก็จะมีสิทธิ์ที่ร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่เกิดขึ้นใหม่ตามพ.ร.บ.ตำรวจ และเป็นสิทธิของทุกคนที่จะฟ้องร้องต่อศาลปกครอง อีกทั้งยังทราบมาว่า จะมีการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ ที่ทำคดีต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิ์โดยชอบของผู้ถูกกล่าวหาทุกคนที่จะสามารถกระทำได้และตนมีหน้าที่ในการแก้ต่างหรือชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นขอย้ำว่าตนเตรียมพร้อมรองรับอยู่แล้วไม่ได้หนักใจด้วยซ้ำ

พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวย้ำว่า ตนเองเป็นรักษาการ ผบ.ตร. แต่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับ ผบ.ตร. ตนมีหน้าที่ที่จะทำให้ตำรวจปรับทัศนคติและค่านิยมมาสู่ความเป็นตำรวจอาชีพ ตนเองพร้อมที่จะทำทุกอย่างในเรื่องที่ควรจะพัฒนาตำรวจไปในทิศทางที่ดีเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของประชาชน

ส่วนการลงนามให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนซึ่งควรเป็นลำดับขั้นตอนสุดท้ายเหตุใดถึงได้ตัดสินใจทำแบบนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่า ไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรกแซงการพิจารณาเป็นไปตามหลักฐานพยาน ความร้ายแรงของคดี และเหตุที่ให้พักหรือออกราชการไว้ก่อนนั่นเป็นไปตามบัญญัติไว้ในกฎหมายทุกประการไม่มีการใช้ความรู้สึกส่วนตัวหรืออคติใดๆ

ซึ่งประเด็นดังกล่าถือเป็นประเด็นความขัดแย้งในเรื่องการใช้กฎหมายตำรวจ และอาจจะมีผลต่อการทำงานของ ผบ.ตร.ในอนาคตหรือไม่นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า การพิจารณาของตนเป็นไปตามกฎหมายของตำรวจ พิจารณาตามข้อเท็จจริงจากนี้ขอให้ไปเป็นตามกระบวนการพิสูจน์กระบวนการยุติธรรม

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า การลงนามคำสั่งของรักษาการฯ มีการบิดเบือนให้นายกรัฐมนตรีลงนามในการโยกย้ายให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กลับมาประจำที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนจะถูกสั่งออกจากราชการชั่วคราว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ท่านเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของชาติตนเป็นเพียงตำรวจคนหนึ่งจะเอาอะไรไปหลอกลวงระดับผู้บริหารประเทศ ด้วยสติปัญญา ด้วยความคิดต่างๆ ตนจะไปหลอกอะไรท่าน

ส่วนประเด็นที่ว่าตน เป็นคู่ขัดแย้งกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือไม่นั้น ตนขอบอกว่า ตนไม่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร แต่ใครจะมองยังไงก็ว่ากัน แต่ตนไม่คิดที่จะขัดแย้งและตนให้เกียรติกับทุกคนเหมือนเดิม

ส่วนกรณีการปลดป้ายชื่อออกจากหน้าห้องทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนมีอะไรต้องทำมากกว่าไปปลดป้ายชื่อคนอื่น ถ้าจะปลดทำไมไม่ปลดท่าน ผบ.ตร. หรือพล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ด้วย ขอย้ำว่า มีเรื่องอื่นมากกว่าต้องทำ ใครจะปลดก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ถูกกล่าวหาว่า กระเหี้ยนกระหือรือจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่นั้น พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวว่า การเป็นผู้นำองค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอยากเป็นหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ก.ตร.การใช้อำนาจและการพิจารณาตามกฏหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความคิดเห็นประการใดก็ถือเป็นมุมมองของผู้ถูกกล่าวหา แม้จะถูกกล่าวหาในเรื่องร้ายแรงก็เป็นสิทธิ์ที่คิดได้อยู่แล้ว ตนไม่จำกัดความคิดของใคร ส่วนกรณีนี้เป็นการพิจารณาข้อกฎหมายที่มีความผิดพลาดหรือไม่นั้นก็เป็นสิทธิ์ที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คิดได้เช่นกัน ต้องเข้าสู่กระบวนการของหน่วยงานที่จะต้องพิจารณาพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป ไม่ว่าศาลปกครอง หรือศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีการระบุว่าจะไปยื่นฟ้องฟ้อง เช่นกัน

ส่วนเรื่องการตรวจสอบขบวนการ 4 ต. ที่ พล.ต.อ สุรเชษฐ์ ได้อ้างไปเมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) ก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีความเกี่ยวพันหรือยุ่งเหยิงอย่างไรและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ กำหนดไว้อยู่แล้ว

นอกจากนี้ พล.ต.อ กิตติ์รัฐ ยังฝากไปถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า ตนเคารพความคิดของ พล.ต.อ สุรเชษฐ์ ซึ่งจะมีความคิดเห็นประการใดก็เป็นกระบวนการที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รู้ว่าต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ตัวเองทำงานได้กับทุกคนไม่มีอคติ และไม่คิดทางลบกับใครทั้งนั้น พร้อมจะทำงานกับทุกคน เป็นกระบวนการในการพิสูจน์ทราบว่ามีการกระทำผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย จะไม่ติดใจกรณีนี้ที่ถูกกล่าวหาใดๆ ทั้งนั้นไม่ได้คิดอะไรทุกอย่างในการดำเนินการตามความคิดและขั้นตอน