บทเรียน "เหลี่ยมการเมือง" "ประธานสภา" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

บทเรียน "เหลี่ยมการเมือง"   "ประธานสภา" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

"เหลี่ยมการเมือง" เดิมพัน "ก้าวไกล" ชิง "ประธานสภา" ฝ่าเกม "หักดิบ" มิตรแท้-มิตรเทียม สู่บัลลังก์ "ประมุขนิติบัญญัติ คนที่ 32"

“ซิเนริโอการเมือง” เวลานี้มีการจับตาไปที่การรับรองผลส.ส.ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่คาดว่าจะเริ่มรับรอง ส.ส.ล็อตแรกในสัปดาห์นี้ 

พลิกดูบทบัญญัติมาตรา 127 แห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ระบุว่า  ผลการเลือกตั้ง เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจํานวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า หกสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง

สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน “ซิเนริโอ” ถัดไปคือ ศึกชิง “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นภายใน 15 วัน โดยนับจากวันที่ กกต.รับรองผล ส.ส. ตามที่ระบุในมาตรา 121 วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญ

ล่าสุด มีการส่งสัญญาณมาจาก “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาพูดถึงโควตา “ประธาน-รองประธานสภา”  ที่ยึดหลักการพรรคอันดับหนึ่งจะทำหน้าที่ที่ประธานสภาฯ ส่วนตำแหน่งรองประธานสภาฯ สองตำแหน่งนั้น เนื่องจากพรรคอันดับหนึ่งและอันดับสอง มีจำนวนใกล้เคียงกัน "รองประธาน" ทั้งสองควรเป็นของพรรคลำดับที่สอง

ไม่ต่างจากฝั่ง “พรรคก้าวไกล” ล่าสุดมีรายงานว่า จากการพูดคุยของทางแกนนำทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล มีแนวโน้มดีขึ้น มั่นใจว่าจะไม่มีความขัดแย้ง

 “พรรคก้าวไกล” ยังย้ำถึงความจำเป็นต้องนั่งเก้าอี้ประธานสภา โดยยืนยันว่า เพื่อผลักดันวาระทั้ง 3 ข้อตามนโยบายของพรรค คือผลักดันกฎหมายหาเสียงไว้อย่างน้อย 45 ฉบับผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ผลักดันหลักการรัฐสภาโปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม และไม่มีเหตุอื่น

บทเรียน \"เหลี่ยมการเมือง\"   \"ประธานสภา\" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

ฉะนั้น ต้องจับตาไปที่ชื่อบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ “ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ” คนที่ 32 ที่จะถือเป็น “หมากการเมือง” ตัวสำคัญในการคุมบัลลังก์ฝ่ายนิติบัญญัติว่าจะเป็นผู้ใด

นอกเหนือจากตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหาร คือตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ซึ่ง“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกฯค่ายส้ม ในฐานะพรรคลำดับ 1 จะต้องไปลุ้นที่อีกหลายโค้งอันตรายที่จะเกิดขึ้นในหนทางเบื้องหน้าแล้ว 

ตำแหน่ง “ประธานสภาฯ” ถือเป็นอีกหนึ่งหมากตัวสำคัญใ น "เกมชิงอำนาจ" และเป็นเดิมพันสำคัญที่พรรคก้าวไกลจะ “แพ้ไม่ได้” 

ด้วยขวากหนามของ “พิธา” และก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็น "แผนเตะสกัด" จากบรรดามิตรเทียม-ศัตรูแท้ ที่จ้องเตะตัดขา สกัดเส้นทางสู่ดวงดาว ของ“พิธา” ในฐานะเบอร์ 1 ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาลให้สะดุดลงแค่กลางทาง  

หากก้าวไกลยังไร้ซึ่งตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติอีกหนึ่งตำแหน่ง นั่นย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ “ค่ายส้ม” ล้มทั้งกระดานเป็นได้ 

บทเรียน \"เหลี่ยมการเมือง\"   \"ประธานสภา\" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

ไม่ต่างจาก “เกมสภาสูง” คือวุฒิสภา อีกหนึ่งหมากในการโหวตนายกฯ ยามนี้ พยายามกล่าวอ้างเงื่อนไขเรื่อง“คุณสมบัติ”ในกรณีการถือครองหุ้นสื่อ ITV เพื่อเป็นเหตุผลในการ“ไม่โหวตให้พิธา” หวังเตะลูกเข้าทางพรรคที่รอเสียบไปโดยปริยาย 

ฉะนั้น แผนซ้อนแผนของ “ก้าวไกล” ที่พอจะทำได้เมื่อถึงเวลาโหวตนายกฯ แล้วข้างตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คือ การเข้าชื่อ 1 ใน 10 หรือ ส.ส.ประมาณ 50 คนส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพื่อประวิงเวลาการ“โหวตเลือกนายกฯ”ให้ยืดออกไป 

เกมก็จะวนลูปกลับไปที่ตำแหน่ง“ประมุขนิติบัญญัติ” ที่มีอำนาจในการเรียกประชุม ปิดประชุม หรือส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคก้าวไกลจะเสียไปไม่ได้เป็นอันขาด

บทเรียน \"เหลี่ยมการเมือง\"   \"ประธานสภา\" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

 

ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ซิเนริโอการเมืองกว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา หรือ 4 ปีพรรคอนาคตใหม่ ส่งต่อสู่พรรคก้าวไกล “ค่ายส้ม” ได้เรียนรู้ถึงบทเรียนสำคัญ หากไร้ซึ่งอำนาจคุมเกมฝ่ายนิติบัญญัติ นั่นย่อมสะเทือนไปถึงหลายนโยบายของพรรค ที่จะต้องสะดุดหยุดลงไปด้วย

โดยเฉพาะ "ฟาสต์แทร็ก" กฎหมาย 45 ฉบับ ครอบคุลม 8 ด้าน ซึ่งเป็นเสมือนสัญญาประชาคม ที่พรรคก้าวไกลใช้หาเสียงจนได้คะแนนถล่มทลาย และจะทำทันทีที่เปิดสภาฯ

ประกอบด้วยด้านการเมือง 11 ฉบับ สิทธิเสรีภาพ 8 ฉบับ การบริการสาธารณะ 4 ฉบับ วางกรอบสำเร็จใน 100 วัน ปฏิรูปการบริหารราชการ 6 ฉบับ ปฏิรูปที่ดิน 8 ฉบับ เศรษฐกิจ 4 ฉบับ วางกรอบภายใน 1 ปี และสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับ แรงงาน 2 ฉบับ วางกรอบ 1 สมัยหรือภายใน 4 ปี

บทเรียน \"เหลี่ยมการเมือง\"   \"ประธานสภา\" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญภายใน 60 วัน นับจากวันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก ครม.ต้องพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อยืนยัน และร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาต่อเนื่องตามขั้นตอน เพื่อขอมติเสียงข้างมากให้เดินหน้าต่อ

หากเป็นร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของ กมธ. แต่ กมธ.ชุดเก่าหมดอายุลง ในขั้นตอนต้องตั้ง กมธ.ใหม่มาพิจารณา หากร่างกฎหมายที่ยังไม่ผ่านวาระรับหลักการ สามารถเดินตามกระบวนการพิจารณา “วาระรับหลักการได้”

ฉะนั้นเมื่อก้าวไกลมีกลไกของ ครม.อยู่ในมือแล้ว อีกหนึ่งอำนาจที่ต้องมีคือ อำนาจนิติบัญญัติ 

โดยเฉพาะ“บ่วงร้อน”  อย่างประเด็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 หรือมาตรา116 ซึ่งถูกบรรจุเป็น 1 ใน 8 กฎหมายสิทธิเสรีภาพ แต่กลับไม่ปรากฎอยู่ในบันทึกข้อตกลง(เอ็มโอยู) 8พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ด้วยเหตุผลไม่ต้องการให้กระทบกับการจัดตั้งรัฐบาล 

เป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกลให้ต้องเดินหน้าเรื่องนี้โดยลำพัง  ยิ่งไปกว่านั้น "ก้าวไกล" เองก็มีบทเรียนการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย ทั้งยุครัฐบาลประยุทธ์ ที่มี “ชวน หลีกภัย”เป็นประธานสภา

ครั้งนั้นก้าวไกลเสนอชุดกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ โดยประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 ถูกบรรจุอยู่ในกฎหมายร่างที่ 1คือ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ในส่วนที่สอง

แต่กลับถูกตีตกโดยทีมกฎหมายสภา ตั้งแต่ยังไม่ได้บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระด้วยเหตุผล “มีบทบัญญัติอาจขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6”

บทเรียน \"เหลี่ยมการเมือง\"   \"ประธานสภา\" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ย้อนกลับไปในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยมี“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เป็นนายกฯ และมี “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภา ช่วงต้นรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 พ.ค.2555 ได้มีความพยายามจากภาควิชาการหัวก้าวหน้า ที่เรียกตนเองว่าเป็น คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112(ครก.112) เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ ... (แก้ไขมาตรา 112 ตามข้อเสนอคณะนิติราษฎร์) ไปยื่นต่อรัฐสภา

แต่เวลาต่อมา“สมศักดิ์”ในฐานะประธานสภา กลับวินิจฉัยว่า ข้อเสนอนี้เป็นการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่กฎหมายตามรัฐธรรมนูญหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาชนจึงไม่มีสิทธิเข้าชื่อกันเพื่อเสนอกฎหมาย จึงมีคำสั่งไม่รับร่างกฎหมายฉบับนี้ไว้พิจารณา

ด้วย “ดีลลับ-ดีลลึก” ที่เกิดขึ้นเวลานั้น มิหนำซ้ำเวลานี้ พรรคก้าวไกลยังจับมือพรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาลด้วยแล้ว หากพรรคก้าวไกลยังขืนปล่อยตำแหน่งประธานสภาให้เพื่อไทย ก็มิวายจะเจอแผนเตะสกัดซ้ำสองขึ้นอีกจนได้

บทเรียน \"เหลี่ยมการเมือง\"   \"ประธานสภา\" ก้าวไกลแพ้ไม่ได้

ทั้งหมดทั้งมวลคือคำตอบว่า เหตุใดก้าวไกลจำเป็นต้องรักษาบัลลังก์ “ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ” เพื่อสกัดเล่ห์เหลี่ยมการเมืองที่อาจทำให้พรรคต้องพ่ายยกกระดาน!

ฉากหน้ายามนี้แม้ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” จะดูเหมือนว่ารักกันหวานชื่นหลัง คุยเรื่อง“สินสอด” ลงตัว รอให้ถึงวันหมั้น-วันแต่ง ทว่ากลเกมจริงๆยังต้องไปลุ้นกันวันโหวต

ยิ่งยามนี้เริ่มมีข่าวคราวยักย้ายถ่ายเทส.ส. โดยใช้ “ไพบูลย์โมเดล” ยุบรวมบรรดา “ซุ้มการเมือง” ด้วยแล้วหากเป็นเช่นนั้นจริงเกมโหวตในสภาก็มีโอกาส “แหกโค้ง” ได้ทุกเมื่อ 

ในอดีตก็มีให้เห็นกันนักต่อหนัก หลายต่อหลายเรื่องส.ส.ลุกขึ้นเสนอแบบ “หักดิบ” กันกลางสภาก็เคยมีมาแล้ว!