"วิรไท" ยันไม่พบเงินเก็งกำไร-พักเงินต่างชาติ ย้ำการเข้าไปดูแลค่าเงินบาท ต้องทำอย่างระมัดระวัง
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า จากกรณีที่หลายฝ่ายมีการแสดงความกังวล เกี่ยวกับการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน ที่ค่าเงินบาทอยู่ในทิศทางแข็งค่าหากเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น ก็เป็นสิ่งที่ธปท.ก็กังวล และมีการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ว่ามีการเก็งกำไรผิดปกติหรือไม่ เพราะหากเคลื่อนไหวผิดปกติ ธปท.ก็พร้อมในการเข้าไปดูแลค่าเงินบาท
แต่การแข็งค่าของค่าเงินบาทที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ มาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยปัจจัยภายในประเทศของสหรัฐ ทั้งจากประเด็นทางการเมืองสหรัฐ ที่เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งมิดเทอมสหรัฐ การชัตดาวน์ของสหรัฐที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เหล่านี้ถือเป็นปัจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงหนุนให้ค่าเงินในประเทศเกิดใหม่ และภูมิภาค รวมถึงค่าเงินบาทไทยปรับตัวแข็งค่าขึ้น แต่หากการแข็งค่ายังเป็นการแข็งค่าอยู่ในระดับกลางๆหากเทียบกับประเทศเกิดใหม่
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตุว่า การแข็งค่าของค่าเงินบาทในปัจจุบัน มาจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปี2562 ที่ผ่านมานั้น เหล่านี้ถือเป็นความเข้าใจผิด เพราะหากดูเงินไหลเข้าไหลออกของไทยตั้งแต่ปลายปี ถึงปัจจุบัน พบว่า ต่างชาติมีการขายสุทธิด้วยซ้ำ โดยจากข้อมูลการซื้อขายหุ้นและพันธบัตร พบว่ามีต่างชาติมีการขายบอนด์สุทธิ 400 ล้านดอลลารสหรัฐ ขณะที่หุ้นมีการซื้อสุทธิราว 100ล้านดอลาร์ ทำให้ปัจจุบันยังเป็นเงินไหลออกสุทธิ ราว 300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งพบว่าแตกต่างกันหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีการนำเงินมาพักในบอนด์ระยะสั้นค่อนข้างมาก จึงเป็นเหตุให้ธปท.ต้องออกนโยบายในการเข้าไปดูแลเงินไหลเข้าในช่วงที่ผ่านมา
“แต่การเข้าไปดูแลค่าเงินบาท ก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ต่างประเทศมองว่า การเข้าไปดูแลค่าเงินบาท เพื่อให้ได้เปรียบเชิงการค้า ดังนั้นการดูแลค่าเงินบาทก็ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหวค่อนข้างมาก แต่จากการติดตามค่าเงินบาท พบว่าวันนี้ยังไม่พบกาเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ผิดปกติ เพราะหากดูเงินไหลเข้าไหลออกของต่างชาติ พบว่าเป็นการไหลออกด้วยซ้ำ หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีการนำเงินมาพักในบางช่วงของต่างชาติ ซึ่งการไหลเข้าเงินวันนี้ ถือเป็นเงินไหลเข้าจากเรียลดีมานด์ที่แท้จริง ทั้งจากการซื้อขายสินค้าและบริการ จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น แต่เหล่านี้เราก็ไม่สบายใจ เมื่อค่าเงินบาทเกิดการเปลี่ยนแปลงเรา เราก็ต้องดูแลใกล้ชิด”