4 กูรูเปิดโผ 'หุ้นเบญจภาคี' ทำกำไรสั้น-ยาว

4 กูรูเปิดโผ 'หุ้นเบญจภาคี' ทำกำไรสั้น-ยาว

กูรูมองตลาดหุ้นไทยปีหน้า ผันผวน จากปัจจัยต่างประเทศกดดัน แนะลงทุนระยะสั้น พร้อมเผย 5 หุ้นเด็ดทำกำไรระยะสั้น-ยาว

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จัดสัมมนาใหญ่ส่งท้ายปี 2561 โค้งสุดท้ายหุ้นไทย “ฟุบ” หรือ “ไปต่อ” โดยในงานสัมมนาช่วงที่ 3 ได้รับเกียรติจากผู้บริหารโบรกเกอร์มาพูดคุยในหัวข้อ “เบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด โค้งสุดท้ายรับไม้ต่อปี 2562”

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย ระบุ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าคาดอยู่ที่1,760 จุด ซึ่งตลาดหุ้นไทยจะมีการลักษณะเคลื่อนไหวขึ้นลงไม่มากนัก(ซึมๆ) จากปัญหาปัจจัยลบต่างประเทศยังไม่คลี่คลาย ประเด็นเรื่องสงครามการค้าที่กดดันในช่วงมี.ค.ว่าจีนสหรัฐจะมีการตกลงกันได้หรือไม่ ซึ่งปัจจัยที่ไม่ชัดเจน จึงแนะนำการลงทุนระยะสั้นช่วงนี้ถึงก.พ.เน้นหุ้นมีผลประกอบการเติบโตมั่นคง

4_85

สำหรับหุ้นแนะนำเลือกลงทุนหุ้นมีผลประกอบการเติบโตมั่นคง1.กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน(JASIF)เพราะปันผลสูง ให้ราคาเหมาะสมที่11.45 บาทต่อหุ้น 2.หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า โรงพยาบาล และเก็งกำไรระยะสั้นตามข่าว 3.บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) จากที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงทำให้มีมาร์จินมากขึ้น และยอดขายกลับมาดีขึ้นจากการบริโภค ท่องเที่ยว และรายได้เกษตรกรเพิ่ม ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นทำให้P/E ปีหน้าลดลงเหลือ17เท่า จากปัจจุบันที่20เท่า

1_102

ขณะที่มีปันผลสูงถึง3% ที่ผ่านมาราคาปรับตัวลดลงแรง ให้ราคาเหมาะสมที่ 10.20บาทต่อหุ้น4.บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (AAV) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลงสูงสุด จากบริษัทไม่มีการป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน ราคาเหมาะสม 5.10บาทต่อหุ้น 5.ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ราคาเหมาะสม 240 บาทต่อหุ้น ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น ปันผลสูงถึง3.8%

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล. ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) ระบุ คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปี2562 อยู่ที่ 1,850จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทย และกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตที่ดี แต่มีปัจจัยต่างประเทศที่ยังกังวลเรื่องสหรัฐ ส่วนกรณีที่เฟดลดอัตราเร่งการขึ้นดอกเบี้ยเหลือ2ครั้งซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ดีขึ้น อาจจะมีการทำQEรอบที่4เกิดขึ้น

5_58

สำหรับหุ้นแนะนำลงทุน 1.บมจ.ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น(WHA) จากราคาถูกมีรายได้สม่ำเสมอ ได้ประโยชน์การลงทุนในEECดึงบริษัท อีคอมเมอร์ส (E-commerce)ขนาดใหญ่มาลงทุน ให้ราคาเหมาะสมที่5.50บาทต่อหุ้น 2.บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาน้ำมันมีโอกาสฟื้นตัว ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกยังเติบโตแม้เป็นลักษณะชะลอตัวปริมาณการผลิตน้ำมันโลกเริ่มลดลงและจากที่PTTEP ชะลอประมูลแหล่งบงกช และเอราวัณ แม้ราคาขายก๊าซธรรมชาติต่ำ กว่าราคาขายปัจจุบัน30% ราคาเหมาะสมที่ 167บาทต่อหุ้น

3.บมจ.บีอีซี เวิลด์(BEC) จากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว การเลือกตั้งจะช่วยทำให้มีการใช้สื่อโฆษณามากขึ้น และมีโอกาสที่จะถูกเทคโอเวอร์หากไม่ปรับแผนธุรกิจให้ราคาเหมาะสมที่ 10 บาทต่อหุ้น4.ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ได้ประโยชน์ ดอกเบี้ยขาขึ้น ให้ราคาเหมาะสมที่257.50 บาทต่อหุ้น 5.บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) จากประมาณงานก่อสร้างปีหน้าออกมามากขึ้นจากการลงทุนภาครัฐและเอกชนราคาเหมาะสมที่ 12-13 บาทต่อหุ้น

นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าอยู่ที่1,850จุด มีP/Eที่16เท่า จากเศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตที่ดีระดับ4% จากรัฐบาลออกมาตรการช้อปช่วยชาติ การกระตุ้นภาคเอกชนมีการลงทุน มากขึ้น

3_121

สำหรับหุ้นแนะนำหุ้น1.บมจ. เอสไอเอสบี (SISB) จากรายได้เติบโตมั่นคง สามารถรองรับจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอีก2พันคนโดยที่ไม่ต้องลงทุนสร้างอาคารเพิ่ม ราคาเหมาะสมที่8.84บาทต่อหุ้น 2. บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ให้ราคาเหมาะสมที่ 73 บาทต่อหุ้น จากจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นจากสายการบินต่างๆมีการแข่งขันที่สูง และจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทจะมีการปรับบริหารสนามบินเพิ่มอีก4 แห่ง

3. บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงสะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้ว การแข่งขันสูง มาร์เกตแชร์ลดลง ให้ราคาเหมาะสมที่ 210บาทต่อหุ้น 4.บมจ.ช.การช่าง (CK) ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการภาครัฐที่จะมีงานออกมาประมูลในปีหน้าจำนวนมาก โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 33 บาทต่อหุ้น

5.บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ได้ประโยชน์จากประกันสังคมเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้ประกันตน และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ที่เปิดใหม่ มีผลประกอบการที่ดีขึ้นและจำนวน ผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น ให้ราคาเหมาะสมที่ 21 บาทต่อหุ้น

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยบล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุ คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าที่ 1,743 จุด P/E15เท่า และมองอัตรากำไรต่อหุ้น(EPS)ที่ 116บาทต่อหุ้น ซึ่งภาพรวมตลาดหุ้นยังมีความผันผวนสูง หากจากมีปัจจัยลบต่างประเทศที่ยังไม่คลาย ในประเทศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และเม็ดเงินต่างชาติยังเชื่อยังไม่ไหลกลับมาจึงแนะนำซื้อขายระยะสั้น(เทรดดิ้ง)ในหุ้นพื้นฐานดีที่ปรับตัวลดลงแรง

2_162

สำหรับแนะนำเลือกลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก มาตรการของภาครัฐคือ1.บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ให้ราคาเหมาะสมที่ 72 บาทต่อหุ้นจากจำนวน นักท่องเที่ยวฟื้นตัว 2.บมจ.ซีพี ออลล์ จำกัด (CPALL)ให้ราคาเหมาะสมที่ 81บาทต่อหุ้น จากการบริโภคดีขึ้น 3.บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCO) จากมีรายได้เติบโตมั่นคง ตามกำลัง การผลิตที่เพิ่มขึ้น และมีผลตอบแทนเงินปันผล สูง ถึง 3% ราคาเหมาะสมที่273บาทต่อหุ้น (รวมมูลค่าหุ้นเพิ่มจากการถือหุ้นโรงไฟฟ้าที่เกาหลีใต้) 4. บมจ.วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI)ธุรกิจเติบโตตามการขยายรถไฟฟ้าของบริษัทแม่และจากการเข้าถือหุ้นในบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)ราคาเหมาะสมที่ 10 .20 บาทต่อหุ้น และ5.บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เนื่องจากธุรกิจติดตามหนี้มีมาร์จินที่สูง ราคาเหมาะสมที่ 15.30 บาทต่อหุ้น