'ฉัตรชัย' สั่งอพท.เดินหน้าพัฒนา 'ท่องเที่ยววิถีคลอง' ทั่วประเทศ

'ฉัตรชัย' สั่งอพท.เดินหน้าพัฒนา 'ท่องเที่ยววิถีคลอง' ทั่วประเทศ

"ฉัตรชัย" สั่งอพท.เดินหน้าพัฒนาต้นแบบ "การท่องเที่ยววิถีคลอง" ทั่วประเทศ นำร่อง "คลองดำเนินสะดวก" พร้อมให้ 3 แนวทางคัดเลือกเข้าโครงการ ตั้งเป้าเปิดโครงการต้นปี62 เน้นคลองธรรมชาติ น้ำสะอาด สร้างรายได้ชุมชน

เมื่อวันที่ 31 ส.ค.61 เวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาคูคลองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ ครั้งที่ 1 ทั้งนี้ สืบเนื่องมติคณะรัฐมนตรี โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. มีดำริให้มีการพัฒนาคลองสวยน้ำใส 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คลอง พร้อมมอบหมายให้พล.อ.ฉัตรชัย เป็นผู้รับผิดชอบและดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อการพัฒนาคูคลอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยึดหลักการให้ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ มีความรู้ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการให้มากที่สุด

ทั้งนี้ พล.อ.ฉัตรชัย ได้มอบหมายให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) จัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการท่องเที่ยววิถีคลองเพื่อเป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวโดยชุมชนมุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีคลอง วิถีเกษตร และประวัติศาสตร์ โดยเลือกคลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็นต้นแบบในการดำเนินงาน ภายใต้การสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยว มุมมองใหม่ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก “วิถีคลอง วิถีไทย ตามรอยดำเนินสะดวก” โดยมีแผนการดำเนินงานนำร่องในระยะทาง 10 กิโลเมตร ในเส้นทางเดินเรือ 4 จุด ประกอบด้วย จุดวัดโชติการาม จุดบ้านมหาดเล็กเจ๊กฮวด จุดสวนเกษตรผสมผสานและจุดตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก

พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ในการคัดเลือกคลองที่เข้าร่วมโครงการยึดหลัก 1.ต้องเป็นคลองธรรมชาติที่สวยงาม 2.มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ 3.ไม่ใช่คลองขนาดใหญ่ และมีเรือยนต์วิ่ง โดยหวังให้คนในพื้นที่ ได้นำสินค้าเกษตรมาจัดจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับชุมชน ทั้งนี้ ตนยังเห็นชอบให้ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการท่องเที่ยว วิถีคลอง วิถีไทย ตามรอยเสด็จคลองดำเนิน โดยกำชับให้กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า เร่งรัดดูแลเรื่องการพัฒนาคุณภาพน้ำและสภาพน้ำ ในคูคลองทั้งหมดให้สะอาดได้มาตรฐาน ตลอดจนเรื่องความปลอดภัย โดยให้ อพท.ไปศึกษาแผนดังกล่าวให้รอบคอบ จึงขอให้ทุกฝ่ายบูรณาการการทำงานร่วมกัน ตลอดจนส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการทำงาน เชื่อว่าจะทำให้โครงการนี้สำเร็จเร็วขึ้น อย่างช้าต้นปี 2562 สามารถเปิดตัวโครงการได้