อัยการฟ้อง! 15 ราย ล้มบอลโตโยต้าไทยลีกปี 2017

อัยการฟ้อง! 15 ราย ล้มบอลโตโยต้าไทยลีกปี 2017

อัยการฟ้อง! ล้มบอลโตโยต้าไทยลีกปี 2017 รวม 15 คน ทั้งกลุ่มนายทุน นักเตะ กรรมการ ศาลสอบคำให้การปฏิเสธสู้คดี นัดตรวจหลักฐาน เช้า 10 ก.ย.

เมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 2561 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายพิทักษ์ อบสุวรรณ อธิบดีอัยการคดีอาญา , นายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการคดีอาญา , นายอธึก คล้ายสังข์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา คณะอัยการรับผิดชอบสำนวนคดีล้มบอลล็อคผลสกอร์การแข่งขันฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก2017 ได้แถลงผลการสั่งฟ้อง ขบวนการผู้เกี่ยวข้องทำผิด ทั้งหมด 15 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ตัดสิน 2 ราย , นักฟุตบอลอาชีพ 8 ราย ในทีมราชนาวี เอฟซี และทีมศรีสะเกษ เอฟซี และกลุ่มนายทุน (พนัน) หรือตัวแทนนายทุน 5 ราย

ส่วนผู้ต้องหารายที่ 16 อัยการเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องน้อยสุด จึงสั่งไม่ฟ้องโดยให้กันไว้เป็น พยานตามสำนวนที่ตำรวจเสนอมาโดยอัยการได้นำตัวทั้งหมด 15 คนไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาแล้วเป็นคดีหมายเลขดำ อ.2131/2561 ซึ่งศาลสอบคำให้การแล้ว จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยศาลอาญานัดตรวจหลักฐานวันที่ 10 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.ซึ่งกลุ่มนายทุน 5 ราย ถูกยื่นฟ้องพ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 มาตรา 64,66 และ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ในมีมูลเหตุจูงใจเป็นเงินพนัน ซึ่งกลุ่มนี้กระทำการใน 5 แทตช์แข่งขัน
กลุ่มนักกีฬา 8 ราย ถูกยื่นฟ้องพ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 มาตรา 65
กลุ่มผู้ตัดสิน 2 ราย ถูกยื่นฟ้องพ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 มาตรา 67

โดยเงินหมุนเวียนการตกลงว่าจ้างอยู่ที่หลักล้านแต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท

สำหรับคดีนี้ “พล.ต.ท. มนู เมฆหมอก” ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีขบวนการล้มบอล ได้ส่งสำนวนการสอบสวนและคำให้การพยาน 68 ปาก พร้อมหลักฐาน 10 แฟ้ม รวม 3,000 แผ่น กับความเห็นสมควรฟ้องผู้ต้องหา 15 รายจาก 16 ราย ให้อัยการพิจารณาเมื่อ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ในความผิดร่วมกันล้มบอลและร่วมกันสนับสนุนล้มบอล ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 ซึ่งมีโทษตามกฎหมายฐานเป็นผู้ให้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้นักกีฬาอาชีพทำการล้มกีฬา ตามมาตรา 64 , ฐานเป็นผู้ใดเรียกรับทรัพย์เพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่นฯ มาตรา 65 , ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน เพื่อจูงใจให้การตัดสินไม่เที่ยงธรรม มาตรา 66 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ ตั้งแต่ 200,000 - 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฐานเป็นผู้ตัดสินเรียกรับทรัพย์สินฯ มาตรา 67 ระวางโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 300,000 - 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ