ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนประหาร 'มือฆ่าหั่นศพ' เศรษฐีเพื่อนร่วมชาติ

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนประหาร 'มือฆ่าหั่นศพ' เศรษฐีเพื่อนร่วมชาติ

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนประหาร "มือฆ่าหั่นศพ" เศรษฐีเพื่อนร่วมชาติ มาเที่ยวไทย

 ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหั่นศพเศรษฐีชาวสเปน คดีหมายเลขดำ อ.1372/2559 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอาเธอร์ เซการา พรินเซพ หรืออาร์ตู (Mr.Segarra Princep Artur ) อายุ 39 ปี สัญชาติสเปน เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย, หน่วยเหนี่ยวกักขังฯ , ลักทรัพย์ และข้อหาอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ,199 , 310 

 

โดยศาลเบิกตัว "นายอาเธอร์" จำเลย มาจากเรือนจำบางขวาง หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตสถานเดียวเพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนีิ้ ซึ่งปัจจุบันนายอาเธอร์ ถูกคุมขังมานาน 2 ปี 5 เดือนนับตั้งแต่ถูกจับกุมและฝากขังครั้งแรก เมื่อเดือน ก.พ.59 โดย "นายอาเธอร์" ยังคงมีสีหน้าสดใส รูปร่างยังดูแข็งแรงปกติ ขณะที่วันนี้ศาลจัดล่ามสาวภาษาสเปนเพื่อแปลกระบวนพิจารณาและคำพิพากษาให้จำเลยฟังด้วย โดยสื่อมวลชนจากประเทศสเปน ติดตามมาทำข่าวอย่างใกล้ชิดด้วย

 

สำหรับคดีนี้ อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 3 พ.ค.59 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค.59 เวลา 08.20 น. ได้พบชิ้นส่วนแขนขวามนุษย์ ลอยมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ติดบริเวณอู่ต่อเรือเอกชนแห่งหนึ่งใกล้วัดคฤหบดี แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กทม. และยังพบชิ้นส่วนมนุษย์อีกหลายชิ้นลอยมาในแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตรับผิดชอบ สภ.เมืองนนทบุรี , สภ.ปากเกร็ด และ สภ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี จากการสืบสวนสอบสวน พบว่า ชิ้นส่วนมนุษย์เป็นของ นายเดวิด เบอเนต โมราด ชาวสเปน โดยจำเลยพาผู้ตายเข้าไปในห้องพักพีจี คอนโด พระราม 9 อสมท. แขวง – เขตห้วยขวาง กทม. จากนั้นได้ฆ่าผู้ตายก่อนหั่นศพ และนำชิ้นส่วนทิ้งลงในแม่น้ำเจ้าพระยาตามจุดต่างๆ ที่พบแล้วหลบหนีไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบและจับกุมได้ขณะหลบหนีมาอยู่ที่ ตลาดการค้าชายแดนบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ขณะที่ศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เม.ย.60 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว และให้ชดใช้เงินคืนแก่ญาติผู้ตาย 734,940 บาท กับให้ริบรถจักรยานยนต์ เครื่องเจียร ใบเลื่อยและตู้แช่แข็งด้วย ซึ่ง "นายอาเธอร์" จำเลย ยื่นอุทธรณ์สู้คดี

ทั้งนี้ในส่วนของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ระบุว่า "นายอาเธอร์" จำเลย ได้รู้จักกับผู้ตายแล้วชักชวนผู้ตาย มาพักที่ห้องซึ่งจำเลยเปิดไว้ ต่อมาได้บังคับให้ผู้ตายบอกรหัสผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์กับทำร้าย กระทั่งจำเลยมีความพยายามติดต่อธนาคารผ่านทางอีเมล์ผู้ตาย เพื่อยืนยันให้โอนเงินร่วม 10 ล้านบาท แล้วจำเลยได้กดเอาเงินสด 734,940 บาทไป 

 

ซึ่งแม้โจทก์ ไม่มีประจักษ์พยาน แต่โจทก์มีพยานแวดล้อม เช่น แม่บ้านทำความสะอาด , กล้องทีวีวงจรปิด , เพื่อนหญิงของจำเลย ประกอบกับพยานวัตถุ รวมทั้งคราบเลือด , เหงื่อ ที่อุปกรณ์เจียรหินไฟฟ้า และตู้แช่ ตรงกับดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้ตาย รวมทั้งตรงกับ DNA ของจำเลยด้วย

 

พฤติการณ์จึงฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าโดยคิดทบทวนวางแผน กับซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อปกปิดเหตุแห่งการตาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตนั้นชอบแล้ว  ศาลอุทธรณ์เห็พ้องด้วย จึงพิพากษายืนให้ประหารชีวิตจำเลย และให้ชดใช้เงินแก่ญาติผู้ตายตามที่ศาลชั้นต้นตัดสิน

ภายหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัว "นายอาเธอร์" ไปคุมขังยังเรือนจำบางขวาง.