PTTEP & BANPU คืนฟอร์มหุ้นบลูชิพ?
“ขาลง”สินค้าโภคภัณฑ์ สารพันปัญหาถาโถม กดความสวยหุ้น PTTEP & BANPU สองหุ้นบลูชิพที่ครั้งหนึ่งเคย“เสน่ห์แรง” ทว่าวันนี้กลับคลายมนต์ขลัง ลุ้นอดีตหุ้นสวยจะกลับมา โดนใจขาหุ้นได้หรือไม่? ไปฟังนักวิเคราะห์ถกอนาคต
หากเอ่ยถึง “หุ้นเด่นในดวงใจ” ของเหล่านักลงทุนย้อนหลังไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นต้องมี หุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP และ หุ้น บ้านปู หรือ BANPU หุ้นขาประจำที่ต้องติดอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของบรรดานักลงทุน ผู้พิสมัยการลงทุนด้วยกลยุทธ์หุ้น“พื้นฐานดี” (Blue-chip) เพราะที่ผ่านมาถือว่าเป็นหุ้นที่เต็มไปด้วย“สตอรี่” มีอัตราการเติบโตที่ดี
ทว่า พักหลังสถานการณ์หุ้น PTTEP และ BANPU กลับไม่เป็นเช่นนั้น จากทิศทาง“ขาลง”ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ตาม“อุปสงค์” (Demand) หรือความต้องการตามสภาวะเศรษฐกิจ และ“อุปทาน” (Supply) หรือความสามารถในการผลิต ซึ่งมีผลต่อการกำหนด“ราคาต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์”
โดยหุ้น PTTEP มีปัจจัยกดดันสำคัญคือ “ราคาน้ำมันดิบโลก” ส่วนหุ้น BANPU มีปัจจัยกระทบคือ “ราคาถ่านหินในตลาดโลก”
สะท้อนจาก“มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด”(มาร์เก็ตแคป) ของหุ้น PTTEP ปรับตัว“ลดลง”จากในอดีต โดยปี 2556 บริษัทมีมาร์เก็ตแคปในระดับ 661,002.57 ล้านบาท เหลือ 364,246.16 ล้านบาท ใน 6 เดือนแรกปี 2560 เท่ากับว่ามาร์เก็ตแคปหายไปรวม 296,756 ล้านบาท เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง (2557-2559) พบว่าทั้ง“รายได้-กำไรสุทธิ”ลดลงต่อเนื่อง โดยปตท.สผ. มีรายได้อยู่ที่ 260,388.92 ล้านบาท , 193,578.62 ล้านบาท , 153,046.65 ล้านบาท งวด 6 เดือนแรกปี 2560 มีรายได้ 73,859.52 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 21,490.45 ล้านบาท ,-31,590.49 ล้านบาท , 12,859.72 ล้านบาท งวด 6 เดือน 19,819.76 ล้านบาท
สอดคล้องกับมุมมองของ“ธนรัตน์ อิศรกุล”ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง หรือ BLS เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่าสถานการณ์ของหุ้น PTTEP มีลักษณะคล้ายๆ กับหุ้น BANPU ที่ในอดีตหุ้นทั้ง 2 ตัวเคยเป็นหุ้นขวัญใจเหล่านักลงทุนต้องมีไว้ประจำพอร์ต ต่างจากในปัจจุบันมุมมองที่เรียกว่า “ขาดเสน่ห์” ไปแล้วในสายตาของนักลงทุน โดยตอนนี้ก็ยังไม่เห็นสัญญาณทางเทคนิคจึงแนะนำให้ลงทุนอยู่ในกรอบจำกัด เพื่อรอสัญญาณการเปลี่ยนเทรนด์ของหุ้น PTTEP ก่อน
"วิธีสังเกตง่ายๆ คือ ราคาหุ้น PTTEP สามารถทะลุผ่านแนวต้านสำคัญและราคาหุ้นขึ้นไปทำนิวไฮรอบใหม่ได้ ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น (วอลุ่ม) แต่ตอนนี้ดูในแง่ราคาหุ้นและวอลุ่มยังไม่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนเทรนด์ใหม่เป็นขาขึ้นของหุ้น PTTEPเลย” เขาแจกแจง
รวมทั้งทิศทางของผลประกอบการของบริษัทยังออกมาไม่สดใส ประเมินจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2560 “ขาดทุนสุทธิ” 264 ล้านดอลลาร์ หรือราว 8,862 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี “กำไรสุทธิ” 156 ล้านดอลลาร์ หรือ 5,446 ล้านบาท จากการรับรู้การขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ของโครงการมาเรียนา ออยล์แซนด์ จำนวน 558 ล้านดอลลาร์
แม้ว่าทิศทางธุรกิจพลังงานกำลังโงหัว หลังทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นมาเกือบ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก “แต่ราคาหุ้น PTTEP กลับยังไม่โดนใจ” โดยเขาประเมินว่า เป็นผลมาจากหุ้นกลุ่มพลังงานยังมีหุ้นตัวอื่นที่มีความน่าสนใจมากกว่า เช่น หุ้น PTT ถือว่าเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งธุรกิจยังกระจายความเสี่ยงออกไปในธุรกิจโรงกลั่น และค้าปลีก
“ลักษณะหุ้น PTTEP คล้ายๆหุ้น BANPU ในอดีตหุ้น PTTEP ถือว่าสร้างกำไรโดดเด่นสุดกว่าหุ้นทุกตัวในเครือ PTT”
ถามว่า...! มีโอกาสเห็นราคาหุ้น PTTEP ผงกหัวขึ้นไหม? นักเทคนิครายเดิม ประเมินว่า “มีโอกาสเห็นราคาหุ้นขยับขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลกที่ขยับเพิ่มขึ้น” แต่โอกาสที่จะกลับมา “โดดเด่นที่สุด”ในกลุ่มพลังงานนั้นค่อนข้างยาก ยิ่งเฉพาะในปีนี้ “ธุรกิจโรงกลั่น”มีค่าการกลั่นสูง จะเห็นได้จากหุ้นกลุ่มโรงกลั่นวิ่งกันทุกตัว อาทิ หุ้น ไทยออยล์ หรือ TOP , หุ้น ไออาร์พีซี หรือ IRPC เป็นต้น
เขายังแจกแจงว่า หากพิจารณาถึงเหตุผลที่ทำให้หุ้น PTTEP สวยลดลง ไล่มาตั้งแต่ ราคาน้ำมันดิบโลกตกต่ำ จากอดีตช่วงวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงสุดถึง 145 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะร่วงลงมาต่ำสุดในรอบ 5 ปี (ก.พ.2552) อยู่ที่ 43 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกจากปัจจัยเรื่องความแปรปรวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว PTTEP ยังเจอผีซ้ำด้ามพลอย กับปัญหาทางธุรกิจเฉพาะบริษัท ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรม อย่างกรณีรัฐบาล“อินโดนีเซีย” ฟ้องร้อง ปตท. และ ปตท.สผ. เป็นเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์ กับข้อกล่าวหาสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมจากเหตุการณ์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติรั่วไหลในทะเลติมอร์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว
เหตุการณ์ครานั้นจุดเกิดเหตุคือบ่อขุดน้ำมัน Montara ที่ดำเนินการโดยบริษัท PTTEP Australasia เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นในปี2552 ส่งผลให้มีน้ำมันรั่วไหลออกมาหลายล้านลิตร บริเวณชายฝั่งทางเหนือของออสเตรเลียตะวันตก เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นหนึ่งในภัยพิบัติจากน้ำมันที่ร้ายแรงที่สุดของออสเตรเลีย และ ปตท.สผ.ถูกปรับเป็นเงินกว่า 394,000 ดอลลาร์ ในปี 2554 โดยมีประเด็นเกี่ยวพันถึงการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงาน รวมถึงความผิดพลาดของการทำงานในบ่อน้ำมันดังกล่าว
รัฐบาลอินโดนีเซีย ระบุว่า การรั่วไหลของน้ำมันในครั้งนั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อน้ำทะเลและพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมถึงทำลายป่าชายเลนและแนวปะการังของจังหวัด Nusa Tenggara ของอินโดนีเซีย ดังนั้นจึงได้มีการยื่นคำร้องต่อศาล Jakarta ฟ้องร้อง ปตท., ปตท.สผ. และ PTTEP Australasia เพื่อเรียกค่าเสียหาย นอกจากนี้ ยังมีเกษตรกรผู้ปลูกสาหร่ายของอินโดนีเซียกว่า 15,000 ราย เรียกร้องเงินชดเชยกว่า 152 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ปตท.สผ. มีแถลงการณ์ผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ว่า รับทราบการฟ้องร้องของอินโดนีเซีย แต่ยังไม่ได้รับแจ้งรายละเอียดใดๆ พร้อมระบุว่ามีการเจรจาและให้ความร่วมมืออย่างดีกับรัฐบาลอินโดนีเซีย ขณะที่ PTTEP Australasia ยืนยันว่า ไม่มีน้ำมันรั่วไหลจากบ่อ Montara มายังชายฝั่งทะเลของอินโดนีเซีย และไม่มีความเสียหายระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมในทะลติมอร์
เรื่องยังไม่จบเท่านั้นที่ผ่านมา ปตท.สผ.ยังถูกจับโยงไปถึงการจ่ายเงินสินบนของบริษัทโรลส์-รอยซ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ของบริษัทพลังงานรัฐในหลายประเทศ รวมถึงไทยด้วยตั้งแต่ปี 2543-2556 จนทำให้บริษัทต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง
ล่าสุดกรณี บริษัท ปตท.สผ.แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท ปตท.สผ.สยาม บริษัทย่อยได้หยุดการผลิตโครงการเอส1 เฉพาะในพื้นที่ ส.ป.ก. ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย. 2560 ซึ่งการหยุดการผลิตโครงการเอส1 ในพื้นที่ส.ป.ก จะส่งผลให้ปริมาณการขายน้ำมันดิบลดลงประมาณ 15,000 บาร์เรลต่อวัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลดลงประมาณ 130 ตันต่อวัน และก๊าซธรรมชาติลดลงประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน กระทบต่อรายได้
ทว่า ไม่ใช่ว่าหุ้น PTTEP จะไม่มีโอกาสกลับมาสวยเฉกเช่นในอดีต? มุมมองของ “กิติชาญ ศิริสุขอาชา” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อยบล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)ประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2560 ของปตท.สผ. ถือว่าผ่าน “จุดต่ำสุด”ไปแล้ว โดยขาดทุนสุทธิ 8,862 ล้านบาท รับผลการตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์โครงการมาเรียนา ออยล์แซนด์ ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท แต่ในด้านของกำไรปกติสามารถทำได้ราว 9,600 ล้านบาท ซึ่งถือว่า“ดีกว่าคาด” ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4 ปี 2560 จะดีขึ้นจากที่ไม่ต้องตั้งสำรองฯ และแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ปัจจุบันเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ราว 50-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีนี้จะสูงกว่าในปีที่แล้ว และจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องในปีหน้า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจะช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมันให้ฟื้นตัวตามขึ้นมาด้วย
“กิติชาญ” ยังบอกว่า ด้านปริมาณการผลิต คาดว่าจะยังถูกจำกัดจากการที่คาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอกโอเปก จะขยายเวลาการลดกำลังการผลิตออกไปอีกเป็นสิ้นปี 2561 โดยยังต้องจับตาการประชุมโอเปกวันที่ 30 พ.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แม้จะช่วยหนุนให้การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) เพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าด้วยความต้องการใช้ที่สูงขึ้นจะช่วยรองรับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้
แม้ว่า PTTEP จะไม่สามารถควบคุมทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ แต่ PTTEP สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ให้อยู่ในระดับต่ำที่ราว 29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นได้ รวมทั้งหุ้น PTTEP ยังมี Upside จากการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมที่จะหมดอายุสัมปทานในปี 2565-2566 ทั้งแหล่งบงกชและเอราวัณ โดยปตท.สผ.มีโอกาสที่จะได้ต่อการผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งบงกชที่เป็นเจ้าของสัมปทานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะน่าจะรู้ผลในช่วงไตรมาส 2 ปี 2561
"ไตรมาส 3 น่าจะแย่สุดของปีนี้ และไตรมาส 4 ก็จะดีขึ้นจากไม่ต้องตั้งสำรอง” เขาประเมินสถานการณ์
สอดคล้องกับคำพูดของ “สมพร ว่องวุฒิพรชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ที่เคยบอกไว้ว่า บริษัทยังเดินหน้าหา “สตอรี่ใหม่” เช่น การผลิตก๊าซธรรมชาติจากโครงการเซาท์เวสต์เวียดนาม หรือโครงการบล๊อก B ในเวียดนามที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนราว 7-8% น่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision :FID) ได้ในปี 2561 หลังจากล่าสุดผู้ร่วมทุนโครงการดังกล่าวได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับราคาก๊าซฯและราคาค่าผ่านท่อก๊าซฯ (Letter of Agreement: LOI) เรียบร้อยแล้ว
“โครงการร่วมทุนในเวียดนาม มี 3 โครงการ โดย 2 โครงการแรกเป็นการผลิตน้ำมันซึ่งได้ดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการนี้เป็นแหล่งก๊าซฯ เราเข้าไปลงทุนนานพอสมควร ตอนนี้มีการค้นพบปริมาณสำรองและมีความพยายามเจรจาจะซื้อจะขายก๊าซฯระหว่างผู้ผลิต ณ วันนี้การเจรจาราคาก๊าซฯที่จะซื้อจะขาย และค่าผ่านท่อแล้ว เพื่อนำมาขึ้นฝั่งใช้ในการผลิตไฟฟ้า ก็ได้มีการลงนาม LOI เพื่อเตรียมสรุปเป็นสัญญาซื้อขายก๊าซฯในโอกาสต่อไป”
สำหรับโครงการแหล่งก๊าซฯในเวียดนาม บี ประกอบด้วย แปลง 48/95 ซึ่งมีบริษัท ปิโตรเวียดนาม (PVN) เป็นผู้ถือหุ้น 42.38% และเป็นผู้ดำเนินการ(operator), บริษัท มิตซุย ออยล์เอ็กซ์พลอเรชั่นจำกัด (MOECO) ถือหุ้น 25.62% ,บริษัท ปิโตรเวียดนาม เอ็กซ์พลอเรชั่นโปรดัคชั่นคอร์ปอเรชั่น (PVEP) ถือหุ้น 23.50% และ PTTEP ถือหุ้น 8.50% ขณะที่แปลง 52/97 มี PVN ถือหุ้น 43.4% และเป็นผู้ดำเนินการ ,PVEP ถือหุ้น 30% ,MOECO ถือหุ้น 19.6% และ PTTEP ถือหุ้น 7%
ส่วนความคืบหน้าในการประมูลสัมปทานปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่จะหมดอายุในปี 2565-2566 บริษัทยืนยันที่จะเสนอทั้ง 2 แปลง คือเอราวัณ และบงกช โดยในขั้นตอนแรกจะเป็นการเจรจากับพันธมิตรที่ร่วมทุนเพื่อเข้าร่วมประมูลในแต่ละโครงการ แต่หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ก็พร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลเพียงรายเดียว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดของการเจรจาและการยื่นข้อเสนอได้ โดยยังต้องรอเอกสารเชิญชวนประมูล (TOR) ที่จะออกมาก่อน
“แปลงบงกชที่เราเป็น operator (ผู้ดำเนินการ) ก็คุยกับพันธมิตรรายเดิม ส่วนแปลงเอราวัณ ก็คุยกับพันธมิตรปัจจุบัน ถ้า term condition ตกลงกันได้ในทุก party เราก็ร่วม Bid ซึ่งในส่วนนี้เราจะขอเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นจากเดิมที่มีอยู่ 3-5% ซึ่งน้อยเกินไป แต่ถ้าพิจารณาแล้วตกลงไม่ได้เราก็คงต้องพิจารณา Bid เอง”
สำหรับ หุ้น บ้านปู หรือ BANPU สถานการณ์เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ราคาถ่านหินไหลรูดลงจาก “หลักร้อยดอลลาร์ต่อตัน”เมื่อกลางปี 2555 ลงมาอยู่ระดับเฉลี่ย 59 ดอลลาร์ต่อตันในปัจจุบัน หลังสภาวะปริมาณถ่านหินล้นเกินความต้องการใช้ ส่งผลให้ธุรกิจถ่านหินเข้าสู่ “ยุคอุตสาหกรรมตะวันตกดิน” (Sunset Industry) ทันที
จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้ฐานะการเงินและราคาหุ้นของ BANPU ผู้ประกอบการที่มีธุรกิจถ่านหินเป็นงานหลัก (Core Business) ทิ่มหัวลงต่อเนื่อง จากเดิมที่เคยมีกำไรสุทธิสูงถึง“หลักหมื่นล้านบาท”เหลือเพียง 2,670 ล้านบาท ในปี 2557 แม้ในอดีตบริษัทจะพยายามหารายได้เสริมจากธุรกิจไฟฟ้า ก็ตาม
ขณะเดียวกัน ยังทำให้ราคาหุ้น BANPU ลดลงจาก “จุดสุงสุด” (นิวไฮ) 868 บาท (เมื่อ 5 ม.ค.2554) มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 10 บาท เหลือเพียง 140 บาท (ราคาถ่านหินก่อนแตกพาร์10 บาท เหลือ 1 บาท เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2556) ปัจจุบันราคาหุ้น BANPU ซื้อขายเฉลี่ย 17.66 บาท
นอกจากนั้น ผลกระทบจากราคาถ่านหินยังส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ หุ้น BANPU ที่มีต่อนักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนแปลงไป เห็นได้จากตัวเลขการถือหุ้นที่ “ลดลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์”เนื่องจากในอดีตธุรกิจถ่านหินเคยมีฐานะโดดเด่น หลังราคาถ่านหินเคยมีราคาสูงถึง 180 เหรียญต่อตันในปี 2552
แม้ในช่วงที่ราคาถ่านหินตกต่ำ เป็นเหตุให้บริษัทขาดทุนหนัก ทว่า “สมฤดี ชัยมงคล”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กลับพยายามเรียกศรัทธาคือด้วย“ภารกิจคืนความแข็งแกร่งให้บ้านปู” ด้วยแนวทางบริษัทเน้นบริหาร “asset strategy”ใน 3 เสาหลักของบริษัทให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น นั่นคือ ธุรกิจต้นน้ำ คือ ถ่านหิน ธุรกิจกลางน้ำ คือ การบริหารการขนส่งถ่านหินและเชื้อเพลิงต่างๆ และธุรกิจปลายน้ำ คือ ธุรกิจไฟฟ้าโดยนำ บมจ.บ้านปู พาวเวอร์ หรือ BPP ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้า เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซื้อขายวันแรก (เทรด) วันที่ 28 ตุลาคม 2559
นอกจากนี้ ยังจัดระเบียบโครงสร้างการเงินให้มีความแข็งแกร่งอีกด้วย การมีกระแสเงินสดจากธุรกิจไฟฟ้าเข้าช่วยเหลือนั้นจะทำให้สภาพคล่องทางธุรกิจดีขึ้น เนื่องจากกำไรของธุรกิจไฟฟ้านั้นคงที่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีสัญญาการซื้อขายระยะยาว
“แนวทางนี้ทำให้งบการเงินของกลุ่มมีความมั่นคงขึ้น และยังจะส่งผลให้บริษัทมีเงินจ่ายปันผลได้ทุกปีให้กับผู้ถือหุ้น แม้ว่าราคาถ่านหินในช่วงที่ผ่านมาจะตกต่ำก็ตามที”เธอย้ำให้ฟัง
รวมทั้งยังต้องเร่งสร้างภาพลักษณ์ของบ้านปู เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าบ้านปูไม่ใช่เพียงแค่ทำธุรกิจถ่านหิน แต่เป็นบริษัทพลังงาน “ครบวงจร”และกำลังมุ่งเน้นพัฒนาพลังงานสะอาดให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย