“แสนสิริ”โชว์ยอดขายแนวราบโต40%

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปีนี้ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าพอใจ จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง ล่าสุดสามารถสร้างยอดขายโครงการแนวราบจากโครงการบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์ โฮมออฟฟิศ รวมถึงช้อปเฮาส์ได้แล้วถึง 10,300 ล้านบาทเติบโตจากช่วงเดียวกันในรอบ 9 เดือนของปีก่อนที่มียอดขาย 7,600 ล้านบาทไปถึงเกือบ 40% และคิดเป็นสัดส่วน 70 % ของเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบที่วางไว้ในปีนี้ 15,000 ล้านบาท

โครงการแนวราบที่ได้รับการตอบรับดีได้แก่ โครงการ เศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น 2 ซึ่งเปิดการขายในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายในช่วงเปิดพรีเซลล์ 2 วัน ไปได้ถึง 400 ล้านบาท สำหรับแบบบ้านที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากที่สุดอยู่ในระดับราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ โครงการบ้านเดี่ยว บุราสิริ ราชพฤกษ์ 345 และโครงการเศรษฐสิริ จรัญฯ - ปิ่นเกล้า รวมถึงโครงการเศรษฐสิริกรุงเทพกรีฑา ก็มียอดขายและการตอบรับที่ดีด้วยเช่นกัน

สาเหตุที่ตลาดอสังหาฯ ตอบรับโครงการบ้านเดี่ยวซึ่งตั้งอยู่ในทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี เนื่องจากการขยายโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่เริ่มเป็นรูปธรรม มีความคืบหน้ามากขึ้น อาทิ รถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก รวมถึงการเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ช่วงเตาปูน – บางซื่อ บริเวณจุดเชื่อมต่อหนึ่งสถานี จากสถานีเตาปูนมายังสถานีบางซื่อ ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร ซึ่งเปิดให้บริการแล้วยังส่งผลให้ โครงการทาวน์ อเวนิว เมิร์จ รัตนาธิเบศร์ ซึ่งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีสามแยกบางใหญ่มากที่สุด เพียง600เมตร จากสถานีรถไฟฟ้าถึงโครงการได้รับการตอบรับที่ดีตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น ยังส่งผลให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น

ปีนี้แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งหมด 11 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการ โครงการทาวเฮาส์ 1 โครงการ และโครงการอาคารพาณิชย์ 1 โครงการ โดยในไตรมาส4/2560 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของการขายบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่อีกจำนวนทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท 

บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวแบรนด์โครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ด้วย ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายแนวราบที่ทำได้แล้วถึง 10,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบที่วางไว้ 15,000 ล้านบาท จะส่งผลให้ยอดขายพรีเซลล์รวมเป็นตามเป้าหมายที่มีการปรับเพิ่ม จากเดิมที่ตั้งไว้ 36,000 ล้านบาท เป็นเป้าหมายใหม่ 40,000 ล้านบาท ในปลายปีนี้ได้อย่างแน่นอน