'กรุ๊ปลีส’ โชว์กำไร 336 ล้าน

'กรุ๊ปลีส’ โชว์กำไร 336 ล้าน

"กรุ๊ปลีส" โชว์กำไร 336 ล้าน ปล่อยกู้เอสเอ็มอีใน “สิงคโปร์-ไซปรัส” ไร้ปัญหา ชี้หลักประกันเกินมูลหนี้

“กรุ๊ปลีส” มั่นใจสินเชื่อที่ปล่อยให้เอสเอ็มอีใน สิงคโปร์และไซปรัส ไร้ปัญหา ย้ำมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันสูงกว่ามูลหนี้ ขณะพอร์ตสินเชื่อโต 4% ส่วนผลดำเนินงานไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 336 ล้าน เพิ่มขึ้น 31.6% ทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 เชื่อครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง

นายทัตซึยะ โคโนซิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 336.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.65% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน นับเป็นกำไรสุทธิสูงสุดต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 328.13 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.65% ขณะที่ช่วง 6 เดือนปี 2560 ทำกำไรสุทธิ 664.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.95% จากช่วง 6 เดือนแรกปีก่อน

สำหรับกรณีการปล่อยกู้เอสเอ็มอีที่สิงคโปร์และไซปรัส ณ มิ.ย.2560 มีมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันมากกว่ามูลหนี้และยังไม่มีแผนการให้เงินกู้รีไฟแนนซ์ ซึ่งต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่ง

โดยสิงคโปร์ มีมูลหนี้ทั้งสิ้น 41.34 ล้านดอลลาร์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันสูงกว่าที่ 70.02 ล้านดอลลาร์ มีอัตราส่วนสำรองต่อหนี้สงสัยจะสูญ 169.37% ซึ่งสัญญาสิ้นสุดแล้วและเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมานี้ ผู้กู้สิงคโปร์ได้คืนเงินมา 15 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 600 ล้านบาทและยังมีการนำหลักทรัพย์ค้ำประกันใหม่มาวางไว้กับบริษัทซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าถึง 17 ล้านดอลลาร์

โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สูงกว่าเงินกู้ที่ 117% ซึ่งยังไม่รวมหุ้น GL และที่ไซปรัส มีมูลหนี้ทั้งสิ้น 29.59 ล้านดอลลาร์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันสูงกว่าที่ 30.70 ล้านดอลลาร์ มีอัตราส่วนสำรองต่อหนี้สงสัยจะสูญ 103.73%

สำหรับในไตรมาส 2 ปี 2560 มีรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจเช่าซื้อมียอดทั้งสิ้น 525.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.83% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทย่อยในกัมพูชาและลาว เพิ่มขึ้น 14.86% และ 13.18% ตามลำดับ

ทางด้านค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการทั้งสิ้นในไตรมาสนี้ที่ 271.89 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้น 25.21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการยังขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ สะท้อนถึงการบริหารที่มีประสิทธิภาพสูง

ดังนั้น กำไรสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยอดสูงสุดในไตรมาสนี้ เป็นผลมาจากผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกตลาดที่ GL ดำเนินธุรกิจอยู่ แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และในครึ่งปีหลังยังคาดว่า จากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา 2-3 ปีที่ผ่านมา น่าจะสร้างกำไรและรายได้เติบโตมากขึ้นด้วย

นายทัตซึยะ กล่าวด้วยว่า จุดเด่นอีกส่วนหนึ่งจากผลประกอบการในไตรมาส 2 ปีนี้มาจาก รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) มูลค่า 12.18 ล้านบาท จากผลประกอบการบริษัทฯ ร่วมทุนระหว่าง GL กับพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ JTrust Asia (JTA) ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และให้บริการสินเชื่อหลายรูปแบบภายใต้ชื่อบริษัทร่วมทุน PT Group Lease Finance Indonesia (GLFI) 

ซึ่งเป็นบริษัทที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการให้บริการต่างๆ เช่น การตลาด การคัดเลือกลูกค้าและการเก็บเงินค่างวดโดยเน้นสินเชื่อสำหรับเครื่องมือทางด้านการเกษตรและจักรยานยนต์ โดยตัวเงินกู้สำหรับสินเชื่อนั้น มาจากธนาคาร PT Bank JTrust Indonesia (ธนาคารท้องถิ่นในเครือบริษัท J Trust Co. โดยตัวบริษัท J Trust Co. จดทะเบียนในตลาดหุ้นโตเกียว)

สำหรับธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อในไทยในปีนี้ คาดว่า จะกลับมาเติบโตดี จากช่วงที่ผ่านมาเติบโตลดลง เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรกนี้ และแนวโน้มหนี้เสียจะยังทรงตัวในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งบริษัทยังสามารถควบคุมคุณภาพหนี้ได้ดี ปัจจุบันหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 4% หรืออยู่ในช่วง 3.8-4.2% ถือว่าเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ