กสิกรไทยคาดที่ประชุมกนง.คงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50%

กสิกรไทยคาดที่ประชุมกนง.คงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50%

"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" คาดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่อง โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้

ภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการบริโภคที่มีสัญญาณฟื้นตัวในวงกว้างมากขึ้น ขณะที่การลงทุนก็เริ่มทยอยปรับตัวในทิศทางดีขึ้น อันจะเห็นจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งยอดการขอใบอนุญาตประกอบกิจการ รง.4 ที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง ขณะที่การส่งออก และการท่องเที่ยวยังคงหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งภาพของพัฒนาการฟื้นตัวที่ปรับดีขึ้นดังกล่าวคงเป็นปัจจัยให้คณะกรรมการนโยบายการเงินสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง เพื่อประคองภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังเป็นการจำกัดความเสี่ยงจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมทั้งช่วยบรรเทาไม่ให้พฤติกรรมแสวงหาความเสี่ยงของนักลงทุนปรับเพิ่มขึ้น

ผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดต่อเศรษฐกิจไทยมีไม่มาก แม้ว่าเฟดจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรอบที่ 2 ของปี รวมทั้งประกาศแผนการที่จะลดขนาดงบดุลในระยะข้างหน้า แต่ผลกระทบต่อตลาดการเงินไทยมีอย่างจากัด เนื่องจากตลาดได้รับรู้ไปแล้ว โดยหลังจากที่ เฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 14 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงเล็กน้อย ขณะที่ค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ ด้วยมุมมองที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดต่อตลาดการเงินไทยที่มีไม่มาก คงไม่น่าจะเป็นประเด็นที่กดดันให้ทางการไทยต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับเฟดในระยะอันใกล้

แรงกดดันเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลง ยังคงสนับสนุนให้ กนง. คงอัตรำดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ หากพิจารณาเงินเฟ้อจะพบว่าแรงกดดันเงินเฟ้อปรับลดลงค่อนข้างมาก อันเป็นผลจากราคาสินค้ากลุ่มอาหารที่ปรับลดลงจากปัจจัยด้านธรรมชาติที่ส่งเสริมให้ผลผลิตภาคการเกษตรขยายตัวได้ดี รวมทั้ง ราคาหมวดพลังงานที่ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก หากมองไปข้างหน้าความกังวลด้านอุปทานส่วนเกินยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปีทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อมีไม่มาก

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วง 3-6 เดือนหลังจากนี้คงได้แก่ พัฒนาการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่อาจจะเผชิญกับความไม่แน่นอนที่มากขึ้นจากปัจจัยภายนอกประเทศทั้งการเมืองสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้รัฐบาลทรัมป์สูญเสียสมาธิในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อันส่งผลให้แรงหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจมีไม่มาก ขณะที่ปัจจัยการเมืองระหว่ำงประเทศที่มีความขัดแย้งมากขึ้นทั้งในซีเรีย และตะวันออกกลาง รวมทั้งอาจสร้างแรงกดดันต่อการบริโภคและการลงทุนของประเทศต่างๆ นอกจากนี้ การที่ตลาดการเงินมองถึงความไม่แน่นอนต่อจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่มีมากขึ้น อาจส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินของสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งไทย ให้ปรับแข็งค่าขึ้นในช่วงสั้น