'ศูนย์แม่และเด็ก' ขุมทรัพย์ใหม่ EKH

'ศูนย์แม่และเด็ก' ขุมทรัพย์ใหม่ EKH

'ศูนย์แม่และเด็ก' ดาวเด่นส่งเงินเข้าบ้าน หลัง 'เอกชัยการแพทย์' ทุ่มงบ 200 ล้านบาท สร้างตึกใหม่ พร้อมโชว์แผนเปิด 'ศูนย์รองรับผู้มีบุตรยาก' ไตรมาส 3 ปีนี้ เรียกแขกรอบใหม่

แม้ผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2559 ของ บมจ.เอกชัยการแพทย์ หรือ EKH ผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้ชื่อ 'โรงพยาบาลเอกชัย จังหวัดสมุทรสาคร' จะออกมาไม่โดดเด่น สะท้อนผ่าน 'ตัวเลขกำไรสุทธิ' ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ 13.69 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนที่อยู่ระดับ 17.67 ล้านบาท

แต่หากมองในแง่ของราคาหุ้นจะพบว่า นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2559 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วเฉลี่ย 75.41% เมื่อเทียบกับราคาไอพีโอ 3.05 บาทต่อหุ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากผลประกอบการช่วงสิ้นปี 2559 ที่ทำออกมาได้ดี หลังกำไรสุทธิขยับจาก 48.56 ล้านบาท เป็น 75.27 ล้านบาท

ทว่ายิ่งพิจารณาสตอรี่ที่อาจช่วยผลักดันฐานะการเงินและราคาหุ้น ทำให้พอเห็นภาพว่า เหตุใดที่ผ่านมาหุ้น EKH จึงกลายเป็นขวัญใจของคุณหมอนักลงทุน โดยเฉพาะผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการก้าวเข้าสู่ 'สังคมผู้สูงวัย' 

รวมถึงโครงการส่งเสริมสาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามินแสนวิเศษ ของกระทรวงสาธารณสุข หรือแม้แต่การเติบโตทุกปีของกิจการโรงพยาบาล สวนทางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สะท้อนผ่านการเติบโตของกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่เฉลี่ยปีละ 3-4%

ปัจจุบัน บมจ.เอกชัยการแพทย์ มีรายได้หลักมาจาก 1.รายได้ผู้ป่วยนอก (OPD) คิดเป็น 45% 2.รายได้ผู้ป่วยใน (IPD) คิดเป็น 55% ในปีที่ผ่านมามีอัตราเข้าใช้บริการ (Utilization Rate) ของจำนวนเตียงผู้ป่วยเฉลี่ย 68.94% โดยมีตัวเลขสูงสุดในช่วงไฮซีซั่นที่ระดับกว่า 80% จากปกติอยู่ที่ระดับ 58.51%

'นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร' ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และกรรมการบริหาร บมจ.เอกชัยการแพทย์ ยอมรับผ่าน 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ว่า แม่และเด็ก รวมถึงผู้สูงวัย ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายและสตอรี่หลักที่จะช่วยผลักดันฐานะของโรงพยาบาลแห่งนี้ ฉะนั้นการที่เมืองไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย และทางการออกมาส่งเสริมให้หญิงไทยมีบุตรโรงพยาบาลย่อมได้รับประโยชน์ตามไปด้วย

ในฐานะที่โรงพยาบาลเอกชัยมีการรักษาที่ครบวงจรมากที่สุดในจังหวัดสุมทรสาคร บวกกับพื้นที่ดังกล่าวมีอัตราการเกิดของเด็กในอัตราสูงเป็น 'อันดับสอง' ของประเทศไทย เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ และเป็นวัยสร้างครอบครัว

ฉะนั้นบริษัทจึงตัดสินใจลงทุนก่อสร้างตึกแห่งใหม่ มูลค่า 200 ล้านบาท เพื่อทำเป็น 'ศูนย์แม่และเด็ก' จำนวน 50 เตียง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3 ปี 2560 และจะแล้วเสร็จปลายปี 2561 ล่าสุดอยู่ในช่วงของการขอการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA

'อีก 10 ปีข้างหน้า อัตราการเพิ่มประชากรไทยจะเท่ากับ 0.0% หมายความว่า อัตราการเกิดจะเท่ากับอัตราการตาย ฉะนั้นประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว'

เขา บอกว่า ในช่วงที่ศูนย์แม่และเด็กกำลังก่อสร้าง ระหว่างทางบริษัทได้มีการลงทุน 'ศูนย์รองรับผู้มีบุตรยาก' ถือเป็นเรื่องที่โรงพยาบาลมีความเชี่ยวชาญไม่แพ้เรื่องแม่และเด็ก คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 3 ปี 2560 และภายใน 2 ปีข้างหน้า จะเดินทางถึง 'จุดคุ้ม'

ล่าสุดบริษัทและพันธมิตรประเทศจีนได้จัดตั้งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ บริษัท เอกชัย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์รองรับผู้มีบุตรยาก ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท (ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 7.5 ล้านบาท) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท

สำหรับกลุ่มเป้าหมายใหญ่ คงหนีไม่พ้นลูกค้าชาวจีน ที่มีความต้องการทำเด็กหลอดแก้ว รองลงมาเป็นลูกค้าคนไทย สะท้อนผ่านความต้องการจะเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพ

ปัจจุบันพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดสมุทรสาครลงไปถึงทางใต้ยังไม่มีศูนย์รองรับผู้มีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว และการเลี้ยงตัวอ่อน เป็นต้น
ฉะนั้นเชื่อว่าศูนย์แห่งนี้จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย เพราะจะให้บริการตั้งแต่เก็บน้ำเชื้อ เก็บไข่ และเลี้่ยงตัวอ่อน เป็นต้น

ที่สำคัญศูนย์ดังกล่าว อาจเริ่มสร้างรายได้ให้บริษัทตั้งแต่ปี 2561 เฉลี่ยปีละ 40-50 ล้านบาท หรือประมาณ 10% เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ปี 2560 อาจต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำตลาด และขอใบอนุญาต

'หมออำนาจ' เล่าต่อว่า โรงพยาบาลยังมีแผนจะขยายเตียงใน 'ศูนย์ไตเทียม' จาก14 เตียง เป็น 24 เตียง มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 15-20 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนคนไข้ล้นพื้นที่แล้ว

หลังมีคนไข้เข้ามาล้างไตทุกวัน ตกวันละ4 รอบ ทำให้คนไข้ใหม่ต้องเข้ามาล้างไตช่วงดึก ในฝั่งเจ้าหน้าที่ก็กลับบ้านตี 1 แทบทุกวัน ล่าสุดอยู่ระหว่างเตรียมพื้นที่เพื่อปรับปรุง คาดว่าจะแล้วเสร็จต้นปี 2561

สำหรับเตียงล้างไตเทียมใหม่ตั้งใจจะยกระดับเป็นห้องล้างไตแบบพรีเมี่ยม (ห้องส่วนตัว) ซึ่งจะส่งผลให้มีมาร์จิ้นมากขึ้นกว่าเดิม เพราะค่าห้องจะสูงขึ้น ถือเป็นการดำเนินการตามความต้องการของคนไข้และญาติ หลังต้องนั่งรอคนไข้ล้างไตครั้งละ 4-5 ชั่วโมง

ขณะเดียวกันโรงพยาบาลยังมีแผนจะทยอยปรับปรุงพื้นที่ตึกเก่า มูลค่าลงทุนประมาณ 30 ล้านบาท โดยจะปรับปรุงห้องพักคนไข้ จากห้องพักรวมเป็นห้องเดี่ยวพิเศษทั้งหมด เนื่องจากคนไข้มีความต้องการห้องเดี่ยวมากขึ้น ประกอบกับห้องพักเดิมมีอายุการใช้งานนานมากแล้ว

นอกจากนั้นยังจะขยาย 'กลุ่มลูกค้าต่างชาติ' มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดซีแอลเอ็มวี ที่ผ่านมาโรงพยาบาลมีการดีลกับเอเจนซี่ประเทศพม่า เพื่อให้ส่งคนไข้มาตรวจสุขภาพในลักษณะเมดิคัลทัวร์

แต่ที่ผ่านมาจำนวนคนไข้ยังไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะยังอยู่ในช่วงของการทำการตลาด และคนไข้ที่เซ็นสัญญาไปเมื่อ 1-2 เดือนก่อน ยังไม่ได้เดินทางมารักษา ที่สำคัญคนพม่านิยมมารักษาโรงพยาบาลแบรนด์ดังในเมืองไทยมากกว่า ฉะนั้นหน้าที่หลักของเราในตอนนี้ คือ สร้างการรับรู้

เมื่อถามถึงสถานการณ์ในออฟฟิศที่ให้บริการในซอยนานา เขา ตอบว่า ยังคงเปิดบริการให้คำปรึกษาเรื่องศัลยกรรมเหมือนเคย แม้ว่าปัจจุบันจะมีคนไข้แถบตะวันออกกลางลดลงเหลือเพียง 2-3 รายต่อเดือนก็ตาม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของตะวันออกกลางไม่สู้ดีนัก

ส่วนแผนลงทุนระยะยาว ยอมรับว่า กำลังศึกษาการลงทุน 'ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ' หลังตึกใหม่ยังมีพื้นที่เหลือ ฉะนั้นสามารถลงทุนเฟส 2 และ 3 ได้ต่อเนื่อง แต่ตอนนี้ขอรอดูสถานการณ์ความต้องการในจังหวัดสมุทรสาครก่อน

เนื่องจากปัจจุบันประชากรในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 40-50 ปี แต่ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า อาจมีประชากรวัยเกษียณเพิ่มขึ้น และเมื่อมีสัดส่วนมากพออาจเห็นโรงพยาบาลเข้ามาลงทุนศูนย์ดูแลผู้สูงอายุก็เป็นได้

ผู้อำนวยการโรงพยาบาล บอกว่า ปัจจุบันยังไม่คิดจะเติบโต ด้วยการ 'ซื้อกิจการ' (M&A) เพราะว่าบริษัทยังไม่มีความพร้อม ที่สำคัญยังมองไม่เห็นดีลที่จะทำให้บริษัทเติบโตขึ้น แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง หากพบว่า เป็นกิจการที่ดี สร้างกำไรได้ทันที ก็พร้อมพิจารณา

ที่ผ่านมายอมรับว่า มีดีลนำเสนอขายโรงพยาบาลเข้ามาต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่มีแต่ไซด์ใหญ่กว่าโรงพยาบาลเอกชัย ที่สำคัญยังพบความเสี่ยงบางจุด และหากจะลงทุนจริงๆต้องมีทีมแพทย์ที่แข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันเราไม่มีความพร้อมมากเช่นนั้น ทำให้ตัดสินใจปล่อยผ่านไปก่อน เว้นแต่มีคนมาชวนไปถือหุ้น ลักษณะนี้ยังพอเป็นไปได้

ฉะนั้นตอนนี้ขอเน้นสร้างการเติบโตด้วยตัวเองก่อน เพราะยังไม่ต้องการไปแบกภาระเรื่องอื่น ที่สำคัญพื้นที่ภายในโรงพยาบาลยังสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น

'สินทรัพย์ที่นำมาเสนอขายก่อนหน้านี้คงไม่ใช่ของดีเท่าไหร่นัก แต่หากมีของคุณภาพราคารับได้มาขาย เราก็พร้อมรับไว้พิจารณา แต่ตอนนี้ขอโฟกัสกิจการเดิมก่อน อย่างปีนี้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 8-10% ต่อปี' 

'หมออำนาจ' ทิ้งท้ายว่า กิจการโรงพยาบาลต้องปรับตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะคุณภาพในการรักษา รวมถึงเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพราะหากสินค้าไม่มีคุณภาพจะอยู่อย่างลำบาก ซึ่งโรงพยาบาลเอกชัย มีทีมแพทย์ที่น่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่ทำงานด้วยกันมากว่า 10 ปีที่สำคัญมีประสบการณ์การรักษาที่ดีไว้ใจได้

'โรงพยาบาล ถือเป็นกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น เพราะท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และกำลังซื้อไม่ฟื้นตัว แต่กิจการนี้ยังคงเติบโตทุกปี'