ดิจิทัลเวนเจอร์สเล็งลงทุนตรง

ดิจิทัลเวนเจอร์สเล็งลงทุนตรง

ดิจิทัลเวนเจอร์สเผยเตรียมเลือกสตาร์ทอัพฟินเทคเข้าลงทุนโดยตรง หลังปีก่อนลงทุนในกองทุนนอกเต็มเพดาน 40% ของเงินทุน 1.7 พันล้าน

ดิจิทัลเวนเจอร์สเผยเตรียมเลือกสตาร์ทอัพฟินเทคเข้าลงทุนโดยตรง หลังปีก่อนลงทุนในกองทุนนอกเต็มเพดาน 40% ของเงินทุน 1.7 พันล้าน ระบุปีนี้อาจได้เห็นบริษัทใหญ่ตั้งบริษัทร่วมทุนในสตาร์ทอัพเพื่อลงทุนเชิงกลยุทธ์สร้างนวัตกรรมเพิ่มเติม

นายพลภัทร อัครปรีดี กรรมการผู้จัดการบริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด  บริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า  ในปี 2559 ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าลงทุนในกองทุนฟินเทคไปจนเต็มสัดส่วน 40%ของเงินลงทุนที่บริษัทตั้งไว้ 50 ล้านดอลลาร์หรือราว1,760 ล้านบาทแล้ว โดยในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาได้เอ็มโอยูกับบริษัทร่วมทุน(Venture Capital) แห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา  ดังนั้นในปีนี้เงินทุนส่วนที่เหลืออีก 60%  จะเน้นการลงทุนโดยตรงมากขึ้น ในสตาร์ทอัพฟินเทคทั้งในและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีเป้าหมาย เช่น AI,  Big DATA ,Biometric,Cyber security ,Blockchain  และB2B ที่จะสร้างธุรกิจให้กับธนาคาร ผู้ประกอบการและลูกค้าธนาคารเช่น Trade Finance และ Insure Tech  

เขากล่าวว่า แม้ในปีที่ผ่านมาธนาคารได้ลงทุนใน Ripple และอยู่ระหว่างการทดลองโครงการนำร่องทดลองใช้ Blockchainในการโอนเงินระหว่างประเทศก็ตาม แต่การนำมาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในเชิงพาณิชย์จะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของธนาคารอีกครั้ง  เพราะในขณะนี้มี blockchain ของผู้ให้บริการรายอื่นให้เลือกอยู่ 2-3 ระบบ  

    ทั้งนี้เป้าหมายการลงทุนของบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นผลตอบแทนสูงสุด เพราะเราเป็น Corporate Venture Capital  แตกต่างจากบริษัทร่วมทุนทั่วไป   แต่จะเน้นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ โดยมีเป้าหมายในการสร้างการเรียนรู้ และการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเป้าหมายให้เข้ากับแบงก์ ซึ่งในปีนี้เชื่อว่าจะเห็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ตื่นตัวและตั้งบริษัทร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ของตัวเอง เพื่อสร้างนวัตกรรมและความเท่าทันทางเทคโนโลยีให้กับองค์กร เช่นที่เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศเช่นบริษัทซัมซุง หรือลอริอัลที่มีกองทุนร่วมทุนของตัวเอง  

V31yIdE6.jpgBSIwsSBK.jpg

“ในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาหารและพลังงานเข้ามาเยี่ยมชมบริษัท เชื่อว่าจะได้เห็นบริษัทขนาดใหญ่ในไทย ทำโมเดลของ VCหรือ ศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพ (Accelerator Programme)  ซึ่งในอนาคตเราอาจจะได้เห็น PropTech หรือ AgriTech มากขึ้น”