เปิดใจญาติ คดี 'เผานั่งยาง' ความหวังที่รอมานาน

เปิดใจญาติ คดี 'เผานั่งยาง' ความหวังที่รอมานาน

(รายงาน) เปิดใจญาติ คดี “เผานั่งยาง” ความหวังที่รอมานาน

ข่าวครึกโครมรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในคดีการพบจุด “เผานั่งยาง” จำนวน 23 จุด ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขือน้ำ ต.หนองแวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี กลายเป็นพลังให้กว่า 30 ครอบครัว มีแรงฮึดที่จะตามหาบุคคลในบ้านหายสาปสูญหลายปี จึงได้เข้าแจ้งความให้ตำรวจช่วยรื้อคดี

“นายสาย แสนสกุล” หนึ่งในบุคคลที่หายออกจากบ้านที่ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เมื่อปี พ.ศ. 2552 กลายเป็นบุคคลสาปสูญตามคำพิพากษาของศาล

หลังจากลูกชายอย่าง“นายวรรลพ แสนสกุล”หมดกำลังใจและหมดเงินไปไม่น้อย ในการตามหาว่าพ่ออยู่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พยายามทุกวิถีทาง จนสุดท้ายต้องยื่นต่อศาลเพื่อขอให้ศาลพิพากษาให้นายสายเป็นบุคคลสาปสูญ

“วันที่ 22 เม.ย. 2559 ผมดูทีวีเห็นข่าวพบการฆ่านั่งยางที่บ้านคำบอน ห่างจากบ้าน 10 กว่ากิโลเมตร เขาบอกว่าใครญาติหายให้ไปแจ้งความเอาไว้ ผมจึงแวะดูทีเกิดเหตุก่อนไปแจ้งความกับสภ.บ้านผือว่าพ่อหายไปตั้งแต่เดือนพ.ย. 2552 รวมเวลา 6 ปีกว่า ให้ข้อมูลและตรวจดีเอ็นเอเทียบเคียงกับกองกระดูกที่พบ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นกระดูกของพ่อหรือไม่ก็ไม่รู้ ก็หวังแต่ว่า ถ้าได้ออกข่าวแล้ว เผื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังทำงานอยู่ที่ฝั่งลาว ก็อยากจะอ้อนวอนคนที่พบเห็นพ่อพาพ่อกลับบ้านบ้าง หรือติดต่อเจ้าหน้าที่อุดรก็ได้ บ้านผือก็ได้”

“วรรลพ” เล่าถึงความพยายามในการตามหาพ่อว่า เคยไปดูที่เขาทำพาสปอร์ตผ่านแดนที่จังหวัดหนองคายที่จะไปยังประเทศลาว ก็พบว่าพ่อทำใบผ่านแดนไว้ 3 วัน 2 คืนแต่ไม่รู้ว่าได้ออกไปหรือไม่ หลังจากนั้นก็พาญาติไปตามหาที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่หนองคาย ก็ได้ข่าวแว่วๆว่า “โดนอุ้ม” ไปแล้ว จึงพากันติดตามหลายวัน หมดเงินไปหลายบาทแต่ไม่ได้วี่แววและข่าวคราวเลย

เคยมีเบาะแสว่ามีคนไปเจอพ่อที่ประเทศลาว โดนขังคุก แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาออกมาเดินซื้อของให้แกหิ้วของ แต่ถามไปถามมาเขาก็พูดเหมือนกับว่าคนให้ข้อมูลเป็นคนเสียสติเอาแน่นอนไม่ได้ ก็เลยเลิกล้มการติดต่อจากคนคนนั้นไป

หรือแม้แต่ทาง “ไสยศาสตร์” ก็เคยพึ่งพา เพราะไปให้หมอดูเขาดูให้ก็มีบ้าง บางหมอบอกว่าพ่อยังไม่ตาย บางหมอก็บอกว่ามองไม่เห็นมีอะไรมาบดบังไว้ เราก็ฟังไปเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ก็ไม่กล้าลบหลู่

ส่วนสาเหตุที่เชื่อว่า ทำให้พ่อหายไปออกจากบ้าน เพราะหลังจากที่นายสายเกษียณจากการเป็นผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกอบต. ก็ได้ผันตัวเองเข้าสู่วงการ “ธุรกิจค้าของเก่า-ปล่อยเงินกู้และส่งคนไปทำงานเมืองนอก”

“แต่ไม่รู้ว่าพ่อทำผิดอะไรแบบไหน แต่ว่าก็รู้ว่าพ่อแกเป็นคนทะเยอทะยานค้าของเก่า เพราะเกษียณจากผู้ใหญ่บ้านมาแล้วหลายสมัยก็เลยวิ่งหาอยากจะมีรายได้ ญาติพี่น้องก็พยายามทักท้วงห้ามปรามว่าอย่าทำเลย เพราะมันอันตราย แค่เราไปเข้ากับวงการนายทุน พวกอิทธิพลก็อันตราย แต่แกก็ไม่ถอย แกก็มาติดพันกับผู้หญิงลาวคนหนึ่งซึ่งหายสาปสูญไปกับพ่อเหมือนกัน และญาติจากฝั่งลาวก็ตามหาตัวไม่เจอเช่นกัน เราเชื่อว่าพ่อทำธุรกิจแบบนี้จึงหายตัวไปแบบนี้ จะมีการหักหลังกันในธุรกิจหรือเปล่าเราก็ไม่รู้”

ครอบครัว “แสนสกุล” ก็เริ่มมีความหวังในการจะรู้ความชัดเจนเกี่ยวกับพ่อ ไม่ต่างจากครอบครัว “ชมภูวิเศษ” ที่บุคคลในครอบครัว อย่าง “นายสุริชัย ชมภูวิเศษ” น้องชายของ “นางกุหลาบ อินทร์ศรี” ที่หายตัวออกจากบ้านพักตำรวจ สภ.บ้านเทื่อม จ.อุดรธานี ในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2552 ที่พบเพียงคราบเลือดในห้องนอน แต่ยังไม่พบร่างมาจนถึงปัจจุบัน

“ก่อนหน้านั้น 3 วันก่อนเป็นวันยายทวดเสีย เรารวมญาติกันทำบุญหายายทวด นางกุหลาบก็ลงมาจากกรุงเทพเพราะไปอยู่กับลูกสาว พอยายทวดเสียก็กลับมาทำบุญ วันที่ 18 พ.ย. 2552 นางกุหลาบก็พักผ่อน เพราะวันที่ 19 พ.ย. ก็จะกลับกทม.กลับบ้านไปหาลูกสาว ตอนเย็นวันที่ 18 พ.ย.ญาติก็โทรมาตามไปทานข้าวด้วย เพราะงานศพเสร็จใหม่ๆคนอีสานก็ชวนกันมาทานข้าวเย็น แต่นางกุหลาบก็ปฏิเสธ บอกว่าเหนื่อยมากขอพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าจะเดินทางแต่เช้า ก็เลยถูกอุ้มฆ่า ที่เชื่อว่าเป็นการอุ้มฆ่าแน่ๆ เพราะเห็นคราบเลือดในห้องนอนที่บ้านพักที่สภ.บ้านเทื่อม แต่ตอนนี้ยังหาศพไม่จบ และที่ผ่านมาไม่คิดว่าจะมีคดีนั่งยาง แต่มารู้ภายหลังช่วงคดีนางบังอร ทองอ่อน เมื่อปี 57 เรื่องเลยแดงขึ้นมา คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีนางกุหลาบอยู่ด้วย”

นายสุริชัย บอกว่า เหตุที่ต้องให้ตำรวจรื้อคดีของพี่สาวขึ้นมา เพราะคดีเก่าไปถึงชั้นศาลแล้ว แต่ศาลยกฟ้อง ทั้งที่จับตัวผู้ต้องจ้างวานได้ เขาก็รับสารภาพ ในเมื่อรับสารภาพแต่เขาว่าสำนวนเราอ่อน เพราะไม่เห็นศพ หาศพไม่เจอ ก็เลยจบแค่นั้น ศาลเลยยกฟ้อง ตอนนี้ตำรวจจึงเชิญให้ไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม ก็เล่าข้อมูลเดิมๆให้เขาฟังกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ส่วนความพยายามในการ การตามหาร่างของนางกุหลาบ น้องชายผู้นี้เล่าว่า ญาติพี่น้องก็ช่วยกันตามหาตามป่าตามเขาแต่ไม่เจอ ไปในที่ที่เขาว่ามีการฆาตกรรม มีการเผาที่เมรุวัดป่าก็ไป แต่ไม่ใช่ ก็เป็นข่าวโคมลอยไป ไปไปมามาก็เลิกการตามหาเพราะมันเหนื่อยและมันไม่มีเงิน สู้ไม่ไหวและต้องทำมาหากิน

“เริ่มแรกมีลุงเขาฝันว่านางกุหลาบไปร้องขอความช่วยเหลือจากลุงว่าช่วยหนูหน่อย เขาเอาหนูมาฆ่าแล้ว ยังไม่อยากจะตาย ฝันครั้งเดียวแค่นั้น ส่วนผมไม่ได้ฝันถึงเลย และช่วงที่คดียังไม่จบก็ไปดูตามหมอที่ว่าดีที่ว่าแน่ ก็ไปดู เขาว่าถูกเอาไปฆ่าไปทางตะวันตก เราก็คิดไม่ออกว่าจะอยู่จุดนี้ คือป่าที่เป็นข่าว ก็ไม่ได้พากันตระเวนหาแถวนี้”

“สุริชัย” บอกด้วยสีหน้าเศร้าว่า หลังจากไม่มีนางกุหลาบแล้วบรรยากาศในครอบครัวก็เปลี่ยนไปเยอะ มีความโศกเศร้าอาลัยเพราะหาศพไม่เจอ ก็คิดว่าเขาตายแล้ว ตายตั้งแต่ช่วงนั้นแล้ว ลูกหลานก็เก็บตัว เพราะรู้ๆกันอยู่แล้วว่ามันมีส่วนมีสีมาเกี่ยวข้อง ก็ห่วงว่าครอบครัวจะถูกคุกคามด้วย ส่วนตัวผมก็กลัวเพราะทำงานต้องเดินทางไปๆมาๆ ก็ระวังอยู่

“อยากจะฝากถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่กำกฎหมาย อยากจะให้เขาให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านตาสีตาสาอย่างเรา ที่เกิดเหตุขนาดนี้แล้ว เอาความผิดกับคนทำผิดไม่ได้ อยากจะให้เขาล้างบางตรงนี้ให้ได้ ในเรื่องมันจบๆซะที อย่าให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก ค่าของคนคนหนึ่งหลายล้านนะครับ ไม่ใช่แค่เงินหมื่นก็ฆ่ากันได้แล้วแบบนี้ เกี่ยวกับคนมีสีด้วยที่ลงมือทำ อยากจะให้กฎหมายบ้านเมืองทำงานชิ้นนี้ให้ลุล่วงไป ผมภาวนาอย่างนั้น เพื่อจะได้นำเถ้ากระดูกพี่สาวมาทำบุญ”