กสทช.เตือนออก 'โปรลับ' ไม่แจ้ง เสี่ยงผิดกฎหมาย

กสทช.เตือนออก 'โปรลับ' ไม่แจ้ง เสี่ยงผิดกฎหมาย

"ประวิทย์" ติงค่ายมือถือออก "โปรลับ" ดึงลูกค้า4จีให้อยู่ในระบบ เป็นการจงใจปิดบังรายการส่งเสริมการขายแก่ กสทช.

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่กระแสข่าวผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือบางราย บังคับให้ผู้บริโภคที่จะโทรไปศูนย์บริการของเครือข่ายอื่น ต้องฟังข้อความประชาสัมพันธ์ของเครือข่ายตนก่อนทำให้เกิดคำถามว่ามีความเหมาะสมและถูกกฎหมายหรือไม่ว่าหากจงใจขัดขวางการโทรออกของผู้บริโภคไม่ว่าด้วยเหตุใด ย่อมผิดกฎหมายอย่างแน่นอน

ส่วนการที่ผู้ประกอบการบางรายใช้มาตรการเชิงบวก คือการยื่นข้อเสนอที่ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคสมัครใจไม่ย้ายเครือข่ายทั้งการการลดราคาการเพิ่มสิทธิประโยชน์ ซึ่งตามหลักธุรกิจแล้วถือว่าทำได้ เนื่องจากเป็นการสมนาคุณแก่ลูกค้าอย่างไรก็ตามหากมีสภาพเป็นโปรโมชั่นย่อมไม่มีคำว่า ลับ เพราะ กสทช. กำหนดให้ค่ายมือถือต้องรายงานรายการส่งเสริมการขายต่อสำนักงาน กสทช. ทุกเดือน

“การปกปิดรายการส่งเสริมการขายย่อมผิดกฎหมาย แต่หากเป็นการสมนาคุณเฉพาะบุคคลโดยไม่มีลักษณะเป็นรายการส่งเสริมการขายก็อาจเป็นคนละกรณีกัน”

อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราค่าบริการให้แตกต่างกันในบริการโทรคมนาคมลักษณะและประเภทเดียวกัน เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผู้บริโภคที่ต้องจ่ายแพงกว่าในบริการแบบเดียวกันสามารถร้องเรียนเพื่อจ่ายในอัตราเดียวกับคนอื่นได้

“ผู้ให้บริการควรคำนึงถึงหัวอกผู้บริโภคที่ยังภักดีไม่ขอย้ายเครือข่ายด้วยว่า เหตุใดในที่สุดต้องจ่ายแพงกว่าคนอื่น และที่สำคัญสำหรับสถานการณ์ภายหลังการประมูลคลื่น 4จี เมื่ออุตสาหกรรมมีผู้ให้บริการรายใหม่ หากเครือข่ายเดิมเสนอโปรโมชั่นลับในราคาที่ต่ำกว่าทุน ย่อมเป็นการกีดกันการค้าและระยะยาวจะก่อให้เกิดการผูกขาดแบบเดิมๆ นับเป็นเรื่องผิดกฎหมายผู้บริโภคได้รับประโยชน์ระยะสั้นเท่านั้น”

นายประวิทย์กล่าวว่าหลังสิ้นสุดการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ ตั้งแต่ 19ธ.ค. 2558ความสนใจของประชาชนคือผู้ชนะใบอนุญาตทั้ง 2 ราย ยังไม่มาชำระค่าใบอนุญาตและวางหนังสือรับรองทางการเงิน (แบงก์ การันตี)แม้ว่าตามหลักเกณฑ์แล้วเอกชนทั้ง 2 รายมีเวลาชำระได้ถึง 90 วันหลังการรับรองผลการประมูลคือวันที่ 21 มี.ค.นี้โดยทั้ง 2รายยังอยู่ระหว่างกระบวนการประสานวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน โดยยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าสถาบันการเงินปฏิเสธการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อ เพียงแต่ต้องพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบและต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ซึ่งเชื่อว่าทุกอย่างจะมีข้อสรุปก่อนครบกำหนด

นอกจากนี้ในมุมมองของผู้บริโภคมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ลูกค้าเดิมที่ใช้งานในระบบ 2จีบนคลื่นความถี่ 900 เดิมซึ่งอยู่ในช่วงมาตรการเยียวยาจะใช้งานได้ถึงเมื่อใด และต้องเตรียมการรับมืออย่างไร จะขยายระยะเวลาเยียวยาออกไปอีกหรือไม่

ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ใช้บริการในระบบ 2จีตามข้อมูลของผู้ให้บริการมีประมาณ 1 ล้านราย และมีผู้ใช้บริการที่ย้ายเครือข่ายไป3จีแล้ว แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องให้รองรับทำให้ต้องใช้งานโรมมิ่งบนระบบ 2จี อีกประมาณ 10 ล้านราย หากปิดระบบ 2จีบนคลื่นดังกล่าว ทันทีที่ชำระเงินค่าใบอนุญาต อาจส่งผลต่อลูกค้าหากเกิดปัญหาซิมดับ

“ทางออกของผู้บริโภคที่ยังไม่ย้ายเครือข่าย หากต้องการใช้บริการต่อเนื่องหรือใช้งานหมายเลขเดิมต่อไป ก็จะต้องย้ายเครือข่าย มิเช่นนั้นจะเจอเหตุการณ์ซิมดับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการย้ายเครือข่ายอาจย้ายไปเครือข่ายเดิมบนระบบ 3จีหรือเปลี่ยนไปเครือข่ายอื่นเลยก็ได้ เป็นสิทธิของผู้บริโภค แต่ต้องคำนึงถึงอุปกรณ์ว่ารองรับหรือไม่ซึ่งปัจจุบันหลายค่ายออกโปรโมชั่นแจกเครื่อง หรือขายราคาถูก”

ส่วนการที่มีผู้เสนอให้ขยายระยะเวลาเยียวยาบนคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ออกไปโดยคงบริการ 2จีอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้ผู้บริโภคมีเวลาย้ายค่ายนั้นทางเทคนิคแต่ละค่ายมีความสามารถในการย้ายได้วันละประมาณ 6หมื่นรายตามความสามารถของศูนย์บริการคงสิทธิเลขหมาย (นัมเบอร์พอร์ททิบิลิตี้) หากย้ายอย่างจริงจังหลังสิ้นสุดการประมูลคลื่น จะทำให้ขณะนี้ในระบบ 2จีจะไม่มีลูกค้าคงค้างเลย โดยไม่ต้องขยายเวลา

ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่การลงมือปฏิบัติของผู้ประกอบการบางรายว่าจริงจังมากแค่ไหน ตั้งแต่การแจ้งเตือนผู้บริโภค การเตรียมระบบรับมือกับการย้ายค่ายปริมาณมาก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลาไม่เพียงพอ แต่เพราะผู้ประกอบการไม่แจ้งเตือนอย่างทั่วถึงและจริงจังดังนั้นแม้จะขยายระยะเวลาก็ยังมีผู้บริโภคตกค้างและเกิดปัญหาซิมดับเช่นกัน