ผันผวนเชิงบวก

ผันผวนเชิงบวก

เริ่มสะสมหุ้นเมื่อดัชนีย่อลง เน้นพื้นฐานดี ปันผลสูง

UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ โดย ยศพณ แสงนิล, CFA : ผันผวนเชิงบวก

ตลาดไทยวันนี้มีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้ต่อ โดยปัจจัยหนุนมาจากต่างประเทศเป็นหลักเช่น การที่นักลงทุนคาดการณ์ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเพิ่มการอัดฉีดเม็ดเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในสิ้นเดือนนี้และดัชนีดาวโจนส์ที่พุ่งขึ้นชัดเจน หลังสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 คนในเดือน ก.ย.ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 201,000 คน ส่งผลให้นักลงทุนต่างก็คาดกันว่าเฟดจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ เราแนะนำขายทำกำไรบ้าง หากดัชนีฟื้นตัวขึ้นแรง เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยใหม่ๆมาสนับสนุนและความกังวลเรื่องของเศรษฐกิจจีนและไทยมีโอกาสกลับมากดดันตลาดได้อีกในช่วงนี้

แนวรับ/แนวต้าน : 1340/1370 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

กลยุทธ์ : เริ่มสะสมหุ้นเมื่อดัชนีย่อลง เน้นพื้นฐานดี ปันผลสูง และได้ประโยชน์จากโครงการรัฐและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

นักลงทุนระยะสั้น : NUSA (1.50) , CSS (6.20)

NUSA (1.50) เราคาดกำไรจะโตได้สูงปีนี้ ประกอบกับราคาปัจจุบันถือว่ายังถูกอยู่ในแง่ของ price to book แถมมี Land bank ซึ่งมีต้นทุนน้อยมาก บวกกับโครงการ NUSA ONE และอีกหลายโครงการในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทในระยะยาว และในครึ่งปีหลังนี้แนวโน้มการโอนโครงการจะมีเข้ามากกว่าครึ่งปีแรกอีกด้วย หลังจากครึ่งปีแรกคอนโดขายดีจนเกินเป้าแล้วครับผม

CSS (6.20) ประกอบธุรกิจออกแบบและติดตั้งเสาแดงและอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ลูกค้าหลักก็คือบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มสื่อสาร อย่างเช่น TRUE และ DTAC ราคาหุ้นเคยขึ้นจาก 6 บาทไป 8 บาทช่วงต้นปี แล้วก็ไหลลงมาเรื่อยๆจนปัจจุบันเหลือ 5 บาทต้นๆ เพราะบริษัทประกาศยกเลิกการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้า solar farm ที่ญี่ปุ่น บวกกับนักลงทุนเริ่มกังวลกันเรื่องที่บริษัทยังไม่มีงาน Backlog ที่ชัดเจนรอไว้สำหรับปีหน้าถึงแม้ว่าปีนี้จะมีรายได้และกำไรเติบโตดีก็ตาม กลยุทธ์สำหรับหุ้นตัวนี้เรามองว่า ใครที่ติดอยู่ต่ำกว่า 6 บาท อุ่นใจได้ ถือต่อและควรซื้อต่อถ้าเห็นต่ำกว่า 5 บาทอีก ภายในสิ้นปีนี้น่าจะได้เห็นกลับขึ้นไป 6 บาทได้เพราะ 1)ไตรมาส 4 ปกติและจะเป็น High season ของธุรกิจสื่อสาร ทำให้น่าจะมีงานใหม่เป็น Backlog มาเพิ่มสำหรับปีหน้า 2)การประมูล 4G จะช่วยเสริม sentiment กลุ่มสื่อสารให้เป็นบวก แต่ถ้าเห็น 6 บาทภายในสิ้นปีนี้ อย่าโลภนะครับ ต้องขาย เพราะ CSS-W1 จะหมดอายุในเดือน มี.ค.59 (120 ล้านหุ้น) 1:1.201 หุ้น ราคาใช้สิทธิ์ 1.249 บาท สรุปคือถ้าเห็น CSS ต่ำกว่า 5 บาท ซื้อ เห็น 6 บาท เผ่นครับ

นักลงทุนระยะยาว : BDMS (25.50), TVO (33.75)

BDMS (25.50) โดยขณะนี้ BDMS มีราคาถูกที่สุดและ upside ที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วย Target price ที่เราให้ไว้อยู่ที่ 25.50 ซึ่งให้ upside สูงถึง 30% ปัจจัยบวก มีอยู่หลายประการนะครับ เช่น 1.)BDMS จะสร้างตึกเพิ่มอีก 6 ตึก แต่ละตึกมี 60 เตียง ลงทุน 6 พันล้านบาท และ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ โดยจะสร้างไว้รองรับผู้ป่วยต่างชาติจากการเปิด AEC โดยเราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม capacity ได้ถึง 74% ภายในปี 2018 2.)BDMS มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม คือสมิทติเวช ชลบุรีในปีนี้ และเปาโลรังสิต และจอมเทียน Hospital ในปีหน้า และตั้งใจจะซื้อโรงพยาบาลเพิ่มอีก 6 โรงพยาบาลให้มีครบทั้งหมด 50 แห่ง 3.)อัตราส่วนของผู้ป่วยต่างชาติมีมากขึ้นเรื่อยๆ (30% เทียบกับ 25% เมื่อ 5 ปีก่อน) 4.)มีแผนขยายธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไป สรุปคือ BDMS มี upside สูงถึง 30% และมีแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน จัดเป็นหุ้น defensive ที่ต้านตลาดและเศรษฐกิจขาลงได้ดี

TVO (33.75) ตลาดมันแกว่งแรงความเสี่ยงก็เยอะ เอาหุ้นปันผลสูงๆติดพอร์ตไว้ก็ดีครับ TVO ตัวนี้ Downside risk จากราคาถั่วเหลืองตกต่ำมีน้อย เนื่องจากราคาถั่วเหลืองในตลาดโลกปัจจุบันใกล้เคียงกับราคาต้นทุนของเกษตรกรสหรัฐที่ 9USD/bushel แถมให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 58 ที่ดีราว 7% โดยคาดเงินปันผลปี 58 ที่ 1.62 บาท/หุ้น ประกอบกับปัจจุบันการปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐนั้นต่ำกว่าที่คาดไว้เพราะมีปัญหาฝนตกหนักในพื้นที่ปลูกถั่วเหลือง ช่วยเสริม sentiment บวกให้กับราคาถั่วเหลืองในระยะกลางถึงระยะยาวด้วย ดังนั้นค่อยๆเก็บสะสม TVO ถือยาวๆกินปันผลกันนะครับ



ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

ปัจจัยภายในประเทศ

- นายชาบีห์ อาลี โมฮิบ ผู้นำกลุ่มด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง การเงินและสถาบันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารโลกได้ปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย (จีดีพี) ลงจากเดิมที่คาดว่าจะโต 3% เหลือเพียง 2.5% และถือว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าสุดในอาเซียน เนื่องจากไทยมีปัญหาด้านโครงสร้างจากการบริหารประเทศ ที่ต้องใช้เวลาในการปฏิรูปกว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนปี 59 นั้น คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2% การส่งออกขยายตัวได้ 1.8% ปี 60 น่าจะขยายตัวได้ 2.4% การส่งออกขยายตัวได้ 1.3% โดยยังมีความเสี่ยงมีจากเศรษฐกิจจีนปี 59 ที่คาดว่าจะโต 6.7% และมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างช้า ๆ จากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ยังชะลอตัว

+ "สมคิด" เดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เชื่อม"ออก-ตก" สั่งเร่งประมูลทางรถไฟกาญจนบุรี-ระยองในปีนี้ เตรียมเจรจาญี่ปุ่น ปลายเดือนต.ค. พร้อมเร่งประมูลรถไฟฟ้าในกทม.อีก 3 เส้นทางในปีนี้ ส่วนปีหน้าอีก 2 เส้นทาง

+ นายจักรพรรดิ ตะเวทิกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด เปิดเผยว่า ภายหลังการท่องเที่ยว จ.ตราด เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ปรากฏว่า จากการสำรวจยอดการจองโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น เกาะช้าง เกาะกูด เกาะหมาก เริ่มมีการจองที่พักกันแล้ว 70-80% มีแนวโน้มคึกคักถึงช่วงเทศกาลปีใหม่

- "โตโยต้า หั่นเป้ายอดขายรอบใหม่ คาดตลาดรวม 7.6-7.7 แสนคัน ระบุ 9 เดือนตลาดร่วงแรง 15% ชี้เศรษฐกิจชะลอตัวกว่าคาด ฉุดกำลังซื้อซึมยาว 3 ปีก่อนไต่ระดับสู่ 1 ล้านคัน วอนรัฐส่งเสริมยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์พัฒนายานยนต์-บุคลากร

ปัจจัยต่างประเทศ

+ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,776.43 จุด พุ่งขึ้น 304.06 จุด หรือ +1.85%

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 ต.ค.) ทำสถิติปิดบวกติดต่อกัน 2 วันทำการ เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากตัวเลขจ้างงานออกมาซบเซา นอกจากนี้ ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของภาคบริการของสหรัฐ ยิ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้มีน้อยลง

+ ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 168.94 จุด หรือ 2.76% ที่ 6,298.92 จุด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (5 ต.ค.) จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงหุ้นเกลนคอร์ที่ทะยานขึ้นกว่า 20%

+ ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 280.36 จุด หรือ +1.58% แตะที่ 18,005.49 จุด

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้น เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงหนุนจากดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้

- สัญญาน้ำมันดิบ ส่งมอบเดือน พ.ย.เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 46.26 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ต.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้