แชมป์'นร.หมอศิริราช'เผยเทคนิคสอบเข้า

แชมป์'นร.หมอศิริราช'เผยเทคนิคสอบเข้า

แชมป์ "นร.หมอศิริราช" เผยเทคนิคสอบเข้า จี้การศึกษาเรียนรู้ผ่านกิจกรรม สร้างความเท่าเทียมรพ.รัฐ-เอกชน

ตามที่กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ได้ดำเนินการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ปีการศึกษา 2558 และได้ประกาศผลการสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม กสพท. คือน้องเซี้ย นายกิจเกษม เกียรติกุลวัฒนา นักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ซึ่งสามารถทำคะแนนได้สูงสุด 84.6511 คะแนน ในการสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (มม)

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มมซึ่งเป็นวันสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย ของนักเรียนแพทย์ ที่สอบเข้าได้ น้องเซี้ยกล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าตนเองจะสอบได้อันหนึ่งของกลุ่มแพทย์เพราะมองว่ายังมีคนเก่งอีกมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็สอบโควต้าคณะแพทยศาสตร์ ได้ทั้งที่ ม.ขอนแก่น และคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และติดสำรองแพทย์ทหารอากาศแต่ได้สละสิทธิ์ เพราะมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชสำหรับเคล็ดลับในการสอบ พยายามทำข้อสอบเก่าและแบบฝึกหัด โดยจดข้อผิดพลาดที่ทำแล้วมาทบทวนอีกครั้ง ส่วนวิชาที่คิดว่าแม่นยำแล้วก็จะไม่ทบทวนซ้ำๆ แต่จะนำเวลาไปทบทวนในวิชาที่ยังไม่ค่อยถนัด

“ผมไม่ได้เป็นที่เด็กที่มุ่งแต่เรียน เวลาอยู่ในโรงเรียนจะทำกิจกรรมควบคู่ไปด้วย เพราะกิจกรรมทำให้เรามีสังคมรู้จักแบ่งเวลาเรียนส่วนการเรียนกวดวิชาจะมองว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ เพราะบางโรงเรียนครูสอนไม่ชัดเจน การอ่านเองก็คงทำได้ไม่ดีต้องเรียนกวดวิชา ซึ่งผมเรียนพิเศษเฉพาะตอนที่เข้าสอบแอดมิชชั่นส์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ ต้องโฟกัสการเรียนในห้องเรียนมากกว่า”น้องเซี้ยกล่าวและว่า ที่ผ่านมา ตนใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนตลอด แต่เมื่อได้มาเห็นคนไข้ในรพ.รัฐต้องรอคิวนอนอยู่หน้าห้องตรวจเป็นจำนวนมาก สภาพอากาศร้อน ทำให้เห็นถึงความแตกต่างจึงอยากอยากเห็นภาพการให้บริการของรพ.รัฐและรพ.เอกชน ไม่ต่างกัน และให้การรักษาคนไข้เท่าเทียบกัน ส่วนการศึกษาอยากให้การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมมากขึ้น ไม่ใช่เน้นท่องจำเนื้อหา

ทั้งนี้ ผู้ที่ทำคะแนนได้อันดับ 2 ในการเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชคือ น้องเคน นายอัคคภัทร์ จารุชัยยงได้ 83.27 คะแนน อันดับ 3 นายปารินทร์ วงศ์สานุภาได้ 83.25คะแนนและอันดับ 5 น.ส.ภัทรศยา วีระโชติสกุล ได้ 82.71 คะแนนซึ่งทั้ง 3 คนเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

น้องเคนกล่าวว่า อยากเรียนแพทย์ เพราะทุกครั้งไปโรงพยาบาลได้เห็นการทำงานของแพทย์ แล้วรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เสียสละ ซึ่งตนอยากมีโอกาสแบบนั้นบ้าง เมื่อขึ้นม.ปลายจึงมุ่งมั่น ตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้าแพทย์ โดยหมั่นทบทวนบทเรียน ฝึกทำโจทย์ วิชาไหนที่ไม่ถนัดก็จะให้เวลามากหน่อยและจะกำหนดตารางชีวิตของตนเอง ว่าต้องอ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน อ่านวันละกี่นาทีกี่ชม.ก็ได้แต่ขอให้ได้อ่าน ไม่ได้เคร่งเครียดกับตนเองว่าต้องอ่านให้ได้มากๆ

“ช่วงชีวิตม.ปลายเป็นช่วงที่สนุกที่สุด เราจะเอาแต่เรียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเรียน เล่น และมีความรับผิดชอบ อย่าง ผมเป็นคณะกรรมการของโรงเรียน เล่นกีฬาหลังเลิกเรียน และเมื่อกลับบ้านก็อ่านหนังสือบ้าง ฝึกทำโจทย์บ้าง ฝากทุกคนให้ตั้งใจเรียนในห้องเรียน แต่ถ้าพลาดในการสอบ เศร้าได้ เสียใจได้แต่ต้องลุกขึ้นเพื่อเดินตามความฝันของเราต่อไป เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้อยู่หยุดเพียงม.ปลาย หรือจะเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น”น้องเคน กล่าว

อนาคต “เคน” อยากเป็นหมอรักษาโรคมะเร็ง หรือทำงานวิจัยเกี่ยวกับด้านมะเร็ง เพราะอยากช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีความสุขในการใช้ชีวิต โดยเขามุ่งมั่นจะเป็นแพทย์ที่รักษาคนป่วยทั้งกายและจิตใจ ไม่ใช่รักษาเพียงกายเท่านั้น

น้องหมีกล่าวว่า แรงจูงใจที่อยากเรียนแพทย์ เพราะเป็นอาชีพที่ท้าทาย ได้รักษาและบำบัดทุกข์ให้คนไข้ ซึ่งตั้งใจอยากเป็นศัลยแพทย์ส่วนการทำข้อสอบจนได้คะแนนเป็นอันดับ 3 ของคณะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่ทบทวนเนื้อหาทั้งหมด รู้จักบริหารเวลาอย่างคุ้มค่า และไม่เรียนพิเศษซึ่งการเรียนพิเศษ อาจจะสำคัญกับบางคน แต่โดยส่วนตัวคิดว่าสามารถอ่านหนังสือและทบทวนด้วยตนเองได้ มุมมองต่อวงการแพทย์ อยากให้มีแพทย์ทางด้านวิจัยมากขึ้น เพื่อให้พัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นส่วนเรื่องการศึกษา รู้สึกว่าจะแม้มีการสอบคัดเลือกมากขึ้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสทางเลือกให้แก่เด็กถ้าจะปรับควรปรับเรื่องจำนวนครั้งในการสอบให้เหมาะสมและพัฒนาข้อสอบให้มีคุณภาพมากขึ้น

ด้านน้องเอน่ากล่าวถึงแรงบันดาลใจที่อยากเรียนแพทย์ว่าต้องการรักษาคนในครอบครัว ซึ่งอาม่าป่วยเป็นอัลไซเมอร์ อยากเป็นแพทย์รักษาทางด้านสมอง และจากการติดตามข่าวสารทางการแพทย์ เห็นได้ว่ามีอัตราผู้ป่วยทางด้านสมองมากขึ้น ถ้าเป็นส่วนหนึ่งช่วยเหลือผู้ป่วยคนอื่นๆได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยทางด้านนี้คงเป็นเรื่องที่ดี สำหรับเทคนิคการเตรียมตัวสอบ ส่วนใหญ่เน้นการทบทวนบทเรียน ฝึกทำโจทย์ และวางแผนของตัวเอง ซึ่งโชคดีที่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรมุ่งมั่นตามเป้าหมายที่วางไว้

“ยอมรับว่าในช่วงเตรียมตัวสอบมีเหนื่อยและท้อในการอ่านหนังสือเหมือนกันแต่โชคดีที่ได้พ่อแม่ คนในครอบครัวคอยให้กำลังใจ และคำแนะนำจึงอยากฝากพ่อแม่ทุกคนว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ มีความสามารถ พ่อแม่ควรให้กำลังใจ คอยสนับสนุน อย่ากดดันลูกๆ เพราะตอนนี้ทุกมหาวิทยาลัย ทุกคณะมีคุณภาพ ศักยภาพในการเรียนการสอนไม่ต่างกัน ทุกคนสามารถเรียนที่ไหนก็ได้เพียงแต่ขอให้ตั้งใจเรียนและมุ่งมั่นจริงๆ” น้องเอน่า กล่าวปิดท้าย

0 หทัยรัตน์  เรียบเรียง 0