ทิศทาง Bitcoin ในปี 2024

Bitcoin ปี 2024 เป็น Cryptocurrency สกุลแรกของโลก และมีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดสกุลเงินดิจิทัล ด้วยมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่สูงถึง $896,635,422,746 ดอลลาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ม.ค.2024) เทียบมูลค่าตลาด Cryptocurrency โดยรวมที่ราว 1.77 ล้านล้านดอลลาร์ บ่งชี้ระดับ BTC Dominance ที่ 47.26%

ท่ามกลางสภาวะตลาดที่จับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาด Cryptocurrency ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุนทั่วโลก ที่ล่าสุด ก.ล.ต. สหรัฐ มีมติอนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETF เป็นที่เรียบร้อยในวันที่ 10 ม.ค.67 ที่ผ่านมา หลังการอนุมัติดังกล่าวถูกยื้อมาอย่างยาวนาน

 โดยบทความนี้จะอธิบายถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีนัยสำคัญต่อทิศทางราคาของ Bitcoin ในช่วงปี 2024 นี้ โดย Bitcoin ซึ่งถือเป็น Cryptocurrency สกุลแรกของโลก และมีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดสกุลเงินดิจิทัล ด้วยมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่สูงถึง $896,635,422,746 ดอลลาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ม.ค.2024) เทียบมูลค่าตลาด Cryptocurrency โดยรวมที่ราว 1.77 ล้านล้านดอลลาร์ บ่งชี้ระดับ BTC Dominance ที่ 47.26%

เราได้ทำการเก็บข้อมูลเชิงสถิติในช่วงที่ผ่านมา พบว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อราคาของ BTC ประกอบไปด้วย 5 ปัจจัยดังนี้ 1.Bitcoin Halving 2.Foreign Exchange (FX) 3.Interest Rate 4.Liquidity Ratio 5. Gold Price 

    Bitcoin Halving

     “Next Bitcoin Halving: April 2024”

Bitcoin ดำเนินการด้วยเทคโนโลยีเบื้องหลังที่ใช้สำหรับการบันทึกธุรกรรมเรียกว่า Blockchain ซึ่งคือ ฐานข้อมูลหนึ่งที่จะเก็บบันทึกข้อมูลชุดเดียวกันไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้นับล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งทำงานโดยอาศัยหลักการของการสร้าง “บล็อก” ที่บันทึกธุรกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนระบบ Bitcoin และเชื่อมต่อกันเป็นลำดับโดยใช้การเข้ารหัสแบบสายตรง (Hash Function) เกิดเป็น Blockchain ขึ้น โดยข้อมูลจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ถูกบันทึกลงในบล็อกแล้ว ส่งผลให้ระบบ Bitcoin มีความโปร่งใส และยากต่อการถูกโจรกรรมทางเทคโนโลยี

การทำงานของ Bitcoin Blockchain นั้นเริ่มต้นจาก “ผู้ขุด” (Miner) จะทำการเพิ่มธุรกรรมใหม่ๆ เข้าไปใน Blockchain โดยผู้ขุดจะต้องทำการ “แก้ปัญหาคณิตศาสตร์” (Proof of Work) เพื่อที่จะสามารถเพิ่มบล็อกใหม่เข้าไปใน Blockchain ได้ แลกกับสิทธิในการรับรองธุรกรรม และเพิ่มข้อมูลชุดใหม่ และผู้ที่สามารถแก้ไขสมการได้เป็นอันดับแรกจะได้รับ Reward เป็น Bitcoin เหรียญใหม่ที่ยังไม่ถูกปล่อยออกมาในระบบ

Bitcoin Halving คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี (หรือทุกๆ 210,000 บล็อก) ซึ่งจะทำให้ Reward ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากการขุด Bitcoin ต่ำลงครึ่งหนึ่ง ส่งผลต่ออัตราการเพิ่มของ Bitcoin ที่เข้าสู่ระบบ

Bitcoin ที่สามารถถูกสร้างได้สูงสุดในระบบคือ 21,000,000 BTC และจะถูกขุดครบภายในปี 2140 หรืออีกประมาณ 117 ปีข้างหน้า โดยในขณะนี้จำนวน Bitcoin ได้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนกว่า 19.6 ล้าน BTC หรือคิดเป็นประมาณ 93.3% เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ระดับ Scarcity ของ Bitcoin จึงเพิ่มขึ้นในทุกๆ ครั้งที่เกิดการ Halving  ในอดีตที่ผ่านมา การ Halving ของ Bitcoin มักจะมีผลต่อราคาของ BTC ในระยะยาว

1st Halving เกิดขึ้นในปี 2012 และราคา BTC สูงขึ้นจากราว $12 สู่ $1,150 ภายใน 1 ปี (+9500%) 2nd Halving ในปี 2016 หนุนราคา BTC ปรับตัวขึ้นจาก $650 สู่ $20,000 ภายในช่วง 1.5 ปี (+3000%) 3rd Halving ในปี 2020 หนุนราคาปรับสูงขึ้นจาก $8,500 สู่ $64,000 ภายใน 1 ปี (+750%)

จึงเกิดการคาดการณ์ว่าการ Halving ครั้งถัดไปในช่วงเดือนเม.ย.2024 อาจส่งผลให้ราคา BTC ปรับตัวขึ้นต่ออย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นเพียงการคาดการณ์โดยใช้ข้อมูลสถิติข้างต้นเท่านั้น โดยอาจต้องพิจารณาปัจจัยอย่างอื่นประกอบเพิ่มเติมด้วย

Foreign Exchange(FX)

แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของตลาดแลกเปลี่ยนต่างประเทศ (FX Market) จะหนุนให้เกิดการทำธุรกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มากขึ้น ซึ่งหมายถึงความต้องการใน BTC ที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน

การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหรือ FX มีผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin โดยตรง โดยเฉพาะสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐ (USD) ซึ่งถือเป็นสกุลเงินหลักในการกำหนดราคา Bitcoin ในตลาด Digital Currency หากมีการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน USD จะส่งผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin โดยตรง ดังนั้นนักลงทุนควรตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาด FX และราคา Bitcoin

Interest Rate

แนวโน้มภาพบวกของตลาด Cryptocurrency โดยมากสะท้อนจากทิศทางการเคลื่อนไหวของ Global Economic โดยรวม ซึ่งจากการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าระดับเงินเฟ้อจะปรับชะลอลง ซึ่งจะหนุนให้เหล่าธนาคารกลางสาขาต่างๆ เริ่มเข้าสู่ Ending Rate Hike Cycle และเริ่มเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงในช่วงปี 2024 นี้

ซึ่งการที่เกิดความเคลื่อนไหวด้านนโยบายทางการเงินอย่างความคาดหวังในการปรับลดระดับดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ นั้นจะหนุนให้สกุลเงิน(Fiat) เริ่มอ่อนค่าผสานกับ Borrowing Cost ที่ต่ำลง ซึ่งจะหนุนนักลงทุนมองว่าสินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า

อย่างไรก็ตาม ทิศทางตลาดในช่วงต้นปี 2024 นี้ นักลงทุนต่างเริ่มกลับมาให้ความสนใจกับทิศทางนโยบายทางการเงินของสหรัฐ โดยรอบการประชุมก่อนหน้า FED มีการรายงาน Dot Plot ของช่วงปี 2024 ออกมา คาดดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 4.6% จากระดับปัจจุบันที่ 5.25% - 5.50% และจะเกิดการ Rate Cut ทั้งสิ้น 3 ครั้ง

หากแต่ความเสี่ยงเริ่มเพิ่มขึ้นหลังตลาดปรับลดน้ำหนักที่ FED จะเริ่มทำการ Rate Cut รอบแรกในช่วงเดือนมี.ค.2024 นี้ โดยจากข้อมูลของ CME Fedwatch Tools บ่งชี้น้ำหนักที่ตลาดเชื่อจะเกิดการ Rate Cut ในรอบการประชุมเดือนมี.ค. ลดลงสู่ระดับ 50.1% (prev. week: 64.5%) หลังทิศทางเงินเฟ้อเดือนธ.ค. รายงานออกมาสูงกว่าคาดทั้งฝั่งเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐาน ผสานล่าสุดรายงานเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค. ปรับขึ้นสูงกว่ารายงานก่อนหน้าที่ 1.0% yoy (prev: 0.8% yoy) รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังร้อนแรง เพิ่มความเสี่ยงกดดันภาพการฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยง

Liquidity Ratio

อัตราส่วน Liquid&Illiquid BTC Supply  ในหลายกรณีที่อัตราส่วนของ BTC ที่สามารถจำหน่าย (Liquid Supply) และ BTC ที่ไม่สามารถจำหน่าย (Illiquid Supply) มีผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin โดยตรง 

อัตราส่วนนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่ามี Bitcoin มากน้อยเพียงใดที่สามารถขายหรือซื้อในตลาดได้ สำหรับ BTC ที่มีอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจำหน่าย หมายถึง BTC ที่ถูกเก็บรักษาไว้ และไม่ได้ถูกเคลื่อนไหวในระยะเวลาที่ยาวนาน

เมื่อ Illiquid BTC มีสัดส่วนสูง ซึ่งบ่งชี้จำนวน BTC ที่มีอยู่ในตลาดลดลง หรือมีการดึง Supply ของ Bitcoin ออกไป ส่งผลให้ Scarcity เร่งขึ้นในทิศทางเดียวกับราคาของ Bitcoin ในทางกลับกันหาก Liquid BTC มีสัดส่วนสูง จะมี BTC มากขึ้นที่สามารถซื้อขายในตลาด เป็นปัจจัยกดดันต่อราคา

ดังนั้น การติดตามอัตราส่วนระหว่าง Liquid และ Illiquid BTC Supply จะสามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีในการประเมินสภาวะของตลาด และทิศทางราคาของ Bitcoin ในอนาคต

Gold Price

ข้อมูลจาก Glassnode บ่งชี้ค่าสหสัมพันธ์(Correlation) ระหว่าง 2 สินทรัพย์ ได้แก่ ทองคำและ BTC ซึ่งหากค่า Correlation ออกมาเป็นลบ จะบ่งชี้การเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่สวนกันของ 2 สินทรัพย์ แต่หากค่า Correlation แสดงผลบวก นั้นแสดงว่าทิศทางราคาของสินทรัพย์เคลื่อนตัวในทิศทางที่สอดคล้องกัน (0 = No Correlation)

ซึ่งจากข้อมูล เราเห็นว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ระดับ Correlation ของทองคำ และ BTC นั้นอยู่ที่ 0.76 (76%) บ่งชี้แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาที่สอดคล้องกันสูง และเข้าใกล้ระดับ All-time-high ของระดับ Correlation ที่บริเวณ 79% จากทิศทาง Correlation ของทองคำ และ BTC ที่สอดคล้องกัน สามารถกล่าวได้ว่ามุมมองที่ให้ต่อ BTC เปรียบเป็น Digital Gold นั้นเริ่มชัดเจนในรูปแบบของสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven) มากขึ้น

จากผลการสำรวจทิศทางราคาของทองคำช่วงการเกิด Rate Cut รอบแรกใน 3 รอบของการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินที่ผ่านมา ทองคำมีแนวโน้มปรับตัวบวกได้ต่อเนื่อง หนุน BTC ซึ่งล่าสุดมีระดับ Correlation กับทองคำที่สูงปรับบวกต่อได้ในช่วงปี 2024 ซึ่งคาดว่าเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลงในฝั่งสหรัฐ แล้ว

จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้นที่มีผลต่อราคาของ Bitcoin ประกอบด้วยการ Bitcoin Halving, ความแข็งแกร่งของตลาดแลกเปลี่ยนต่างประเทศ (FX Market), การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน (FX), อัตราดอกเบี้ยนโยบาย, อัตราส่วน Liquid&Illiquid BTC Supply และราคาทองคำ 

ล้วนเป็นปัจจัยที่เราได้ทำการรวบรวมข้อมูลทางสถิติในมา เพื่อเป็นแนวทางในการคาดเดาทิศทางราคาของ Bitcoin โดยมองว่าข้อมูลต่างๆ นี้เป็นปัจจัยบวกที่อาจทำให้ราคาของ BTC จะสามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้และจะสะท้อนออกมาในช่วงปี 2024

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์