ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

ผมมีความเห็นว่าธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศเป็น old industry ทั้ง ๆ ที่ speed of change ของโลกเปลี่ยนด้วย exponential rate

ณ วันนี้ IT technology ล้ำหน้าอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง AI, AR, extended reality, datafication, machine learning ทำให้เกิด business model ใหม่ ๆ ที่สร้าง new industry ผลคือ new industry จะกลืน old industry อย่างน่ากลัว

อธิบายเรื่องนี้ง่ายมาก ผู้อ่านลองไปศึกษาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีบริษัทเป็นจำนวนมากที่ financial performance อยู่ในสภาวะอ่อนแอ ถดถอยอย่างต่อเนื่อง หรือไม่ก็อยู่ใน stagnant mode

บริษัทเหล่านี้หลายบริษัทเป็นบริษัทยักษ์ระดับประเทศ ระบบเศรษฐกิจบ้านเราจึงเปรียบเสมือนยืนอยู่ที่สี่แยกว่าจะเดินหน้า transform สู่ new industry หรือพอใจที่จะกินบุญเก่า

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เป็น key agenda ของผู้นำองค์กรว่ายินดีที่จะอยู่ใน comfort zone หรือกล้าที่จะ bite the bullet ก้าวสู่ new world frontier

ก่อนจะเล่าเรื่องต่อ ผมขอยกคำพูดของ Albert Einstein ที่พูดไว้ว่า Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results. มันต้องเป็นเรื่องเสียสติสิ้นดีที่ทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา แล้วคาดหวังว่าจะมีผลแตกต่างที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ผู้อ่านทุกท่านคงจำ iPod ได้เป็นสินค้าที่สร้างรายได้ให้กับ Apple อย่างมหาศาลขายได้ทั้งหมด 450 ล้านเครื่อง คำถามคือทำไม Steve Jobs ลบ iPod ออกจาก product line up ของ Apple

ที่มาคือมีอยู่วันหนึ่ง Steve Jobs พบว่ามือถือรุ่นใหม่ของ Nokia สามารถเล่นเพลงได้หลายเพลง ถ้าผมจำไม่ผิดประมาณ 7-8 เพลง คืนนั้น Steve Jobs นอนไม่หลับ

เขาครุ่นคิดว่าถ้า Nokia สามารถเพิ่มขีดขั้นความสามารถเล่นเพลงได้ 7-800 เพลง นั่นคืออวสานของ iPod วันรุ่งขึ้นเขาเรียกประชุมทีมงานบริหาร แล้วยกเลิกการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกโครงการ

mandate ของ Jobs คือ fast track project ในการสร้าง new product เป็นโทรศัพท์มือถือที่เล่นเพลงได้ด้วย

ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

ประเด็นคือ Jobs ยินดีฆ่า iPod ด้วยตัวเอง ภายในเวลาไม่นานในปี 2007 Apple เปิดตัว iPhone มาถึงวันนี้ iPhone มียอดขายทั้งสิ้น 2.3 พันล้านเครื่อง และเป็น money printing machine ที่สร้างรายได้เป็นอันดับหนึ่งให้กับ Apple นี่คือตัวอย่างแรกของ old industry transforms to new frontier

ตัวอย่างที่สองคือ Intel ในยุคแรก Intel เป็นผู้นำในการผลิต memory chip วันดีคืนร้ายผู้ผลิตญี่ปุ่นสามารถผลิต memory chip ในราคาที่ถูกกว่า ทำให้ผลประกอบการของ Intel กระทบอย่างรุนแรง

ผู้บริหารของ Intel คือ Andy Grove และ Gordon Moore คาดการณ์ว่าคณะกรรมการของ Intel ไม่มีทางเลือก ต้องไล่ทั้งคู่ออก และแน่นอนที่สุด board ต้องมี mandate ให้ Intel ถอนตัวจากธุรกิจ memory chip และสร้างนวัตกรรมเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทำให้ Intel มีอนาคตสดใสอีกครั้ง

Grove และ Moore บอกกับตัวเองว่าทำไมเราทั้งสองคนไม่ทำเรื่องนี้เอง แทนที่จะให้ board สรรหา CEO คนใหม่ ทั้งคู่เสนอกับ board ว่า Intel ต้องถอนตัวจาก old industry แล้วสร้าง Intel ยุคใหม่

นี่คือที่มาของผลิตภัณฑ์ microprocessor ที่ personal computer เกือบทุกยี่ห้อต้องใช้ ถ้าผู้อ่านยังจำได้นี่เป็นที่มาของ campaign โฆษณา Intel inside 

ผมชอบคำพูดของ Grove ที่ให้ความเห็นว่า A corporation is a living organism; it has to continue to shed its skin. Methods have to change. Focus has to change. Values have to change. The sum total of those changes is transformation. 

ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

องค์กรเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ต้องถอดผิวหนังของตัวเองออกเป็นระยะระยะ เปลี่ยนกระบวนท่าในการทำธุรกิจ เป้าหมายและคุณค่าต้องปรับให้ทันยุคสมัย เพราะองค์กรเป็นจุดเล็ก ๆ ในบริบทของโลกธุรกิจที่หมุนเร็วกว่าที่เราคิด ผลรวมของการเปลี่ยนคือ transformation 

ในเวลาอันสั้นที่ Intel ออกจาก old industry แล้วสร้าง white space เป็นผู้นำตลาด microprosesor ทำให้ความต้องการใช้คอมพิวเตอร์โตแบบก้าวกระโดด เพราะคอมพิวเตอร์มีขีดขั้นความสามารถในการทำงานที่มีพลังอย่างเหลือเชื่อ

Grove ให้ความเห็นว่าที่เขากับ Moore กล้าทำเรื่องที่สุ่มเสี่ยง เพราะคนทั้งคู่เข้าใจแนวคิดของ strategic inflection point ความหมายคือนี่คือช่วงเวลาที่มีความสำคัญต่อความอยู่รอดขององค์กร inflection point บังคับให้องค์กรต้อง disrupt ยุทธศาสตร์ธุรกิจ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนของ business environment องค์กรที่ตื่นรู้เรื่องนี้จะมี next phase of growth

ตัวอย่างที่สาม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว traditional media ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ linear & cable TV วิทยุกลายเป็น sunset business เพราะพลังของ digital media เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างสิ้นเชิง

ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

สังเกตง่าย ๆ อย่างนี้ครับ ครั้งสุดท้ายที่คุณอ่านหนังสือพิมพ์รายวันมันนานเท่าไรแล้ว ในมุมกลับสิ่งที่ผมเห็นคือคนส่วนใหญ่ของบ้านเรา ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรจะใช้ social media เป็น time killer ไม่ว่าจะทานอาหาร เดินทางบนรถไฟฟ้า ทุกคนก้มหน้าดูจอมือถือ

ผลคือ traditional media มี readership และ viewership ลดลงแบบหมอไม่รับเย็บ รายได้จากโฆษณาไม่ต้องพูดถึงจากที่เคยเป็นเครื่องพิมพ์ธนบัตรชั้นเยี่ยม ตอนนี้กลายเป็น money printing machine ที่ทำงานเดือนละแค่หนึ่งวัน

มีคนถามผมว่า traditional media จะอยู่รอดไหม ผมตอบไม่ต้องคิดเลย อยู่ได้แน่นอน แต่พวกเขาต้องทำสิ่งที่ Grove และ Moore ทำคือ shedding the skin สร้าง new business model ทำให้ตัวเองมี competitive advantage เหนือกว่า digital media

เมื่อห้าหกปีมาแล้วสังคมอเมริกันมีเรื่องฉาวโฉ่คือการล่วงละเมิดทางเพศ เริ่มต้นจาก Trump ซึ่งเป็นตัวจุดประกายของเรื่องนี้ แต่ Trump ก็เอาตัวรอดด้วยวิธีสกปรก

กองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ New York Times เลยตั้งคำถามว่าวงการไหนที่มีเรื่องละเมิดทางเพศมากที่สุด พวกเขาระดมทีมงานมาทำงานนี้ คำตอบคือ Hollywood หลังจากนั้นบรรณาธิการสร้างทีมพิเศษเพื่อค้นหาว่าใครคือ “ตัวร้าย”

ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

ทีมงานทำการบ้านดู video tape และเอกสารเป็นพันๆ ชิ้น สุดท้ายทีมงานซึ่งทำงานหลายพันชั่วโมงมีโอกาสดู tape ของการแจกรางวัล Oscar ในปี 2013 และมีหลักฐานที่ชี้ชัดว่า Harvey Weinstein ซึ่งเป็น CEO ของ The Weinstein Company คือ “เจ้าพ่อตัวร้าย”

จากนั้นทีมงานเจาะลึกว่าใครที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ พบว่ามีทั้งทีมงานของ Wienstein Company และดาราดังอย่าง Ashley Judd, Gwyneth Paltrow, Angelina Jolie อยู่ในคนกลุ่มนี้ 

นักข่าวหญิงสองคนของ New York Times ติดต่อกับผู้เสียหาย ทุกคนยอมรับว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นจริง แต่พวกเธอไม่ยินดีที่จะให้การในชั้นศาล เพราะ Weinstein มีอำนาจมืด ใช้เงินปิดปากผู้ถูกกระทำแล้วให้เซ็น non disclosure agreement

มากไปกว่านั้น Harvey Weinstein มีสายสัมพันธ์กับอัยการ ทำให้คดีหลายคดีในอดีตศาลยกคำฟ้องของโจทก์ นักข่าวไม่ยอมแพ้เดินทางไปถึงประเทศอังกฤษพูดคุยกับอดีตพนักงานของ Wienstein  Company เหยื่อรายนี้เล่ารายละเอียดไม่มีอะไรตกหล่น แต่เธอก็เหมือนกับเหยื่อทุกรายปฏิเสธที่จะให้การในชั้นศาล นักข่าวทิ้งนามบัตรแล้วบอกว่าถ้าคุณเปลี่ยนใจ ช่วยติดต่อกลับ

เหตุการณ์พลิกเกิดจากอดีตพนักงานที่ประเทศอังกฤษต้องผ่าตัด และเป็นการผ่าตัดใหญ่ เธอคิดในใจว่าทำไมไม่รวมรวบความกล้าเปิดมุมมืดตัวเอง ที่คิดอย่างนี้เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอจะมีชีวิตต่อหรือไม่ เธอติดต่อนักข่าว NY Times นักข่าวบินมาทันที ให้เธอเซ็นเอกสารเพื่อให้เธอเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง Wienstein

นักข่าวไม่หยุดแค่นั้น นักข่าวหญิงทั้งสองคนกลับไปติดต่อผู้เสียหายที่เคยปฏิเสธว่าตอนนี้มีจุดตั้งต้นที่มีผู้เสียหายคนแรกยินดีดำเนินคดีกับ Wienstein

มาถึงตรงนี้หลายคนกลับใจร่วมเป็นโจทก์ หนึ่งในนั้นที่ยินดีเป็นโจทก์ร่วมคือ Ashley Judd ซึ่งต้องบอกว่าเธอกล้าหาญมาก เพราะการเปิดตัวของเธออาจจะมีผลต่ออาชีพในฐานะดาราชั้นนำของ Hollywood 

ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

สุภาพสตรีที่ถูก Weinstein ทำมิดีมิร้ายมีทั้งหมด 90 คน ทีมข่าว NY Times รวบรวมข้อมูลเสมือนหนึ่งเป็นนักสืบ ข่าวประเภทนี้เรียกว่า investigative news แล้วเขียนเป็น series of content เปิดสิ่งที่ถูกปกปิดมา 30 ปี

ก่อนตีพิมพ์บรรณาธิการของ NY Times ติดต่อ Wienstein ว่าพรุ่งนี้จะมีข่าวเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศของคุณ ทางบรรณาธิการถาม Wienstein ว่าคุณมีความเห็นอย่างไร

Wienstein พาทนายความหลายคนมาคุยกับบรรณาธิการทันที แล้วข่มขู่ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่เขาถูกใส่ร้าย ถ้า NY Times ตีพิมพ์ข่าวนี้ เขาจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก

มาถึงตรงนี้บรรณาธิการประชุมทีมงานแล้วเล่าว่าสถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไร ให้นักข่าวหญิงสองคนและทีมบริหารลงมติว่าจะตีพิมพ์ข่าวนี้หรือไม่ เสียงเป็นเอกฉันท์ว่า NY Times ต้องทำหน้าที่หยุดวงจรความชั่วร้าย ปกป้องไม่ให้คนดีถูกทำร้าย

ข่าวชิ้นแรกตีพิมพ์ในเดือนตุลาคม 2017 จากนั้นตามด้วยบทความที่ตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องเป็นลูกระนาด ผลงานนี้ทำให้วงการ Hollywood สั่นสะเทือนอย่างแรง Weinstein ถูกดำเนินคดี เกิดกระแส #metoo ทั่วประเทศ

ถอดแนวคิดผู้นำองค์กร Old industry ที่ไม่ยอมตาย

กระแสนี้คือคนจำนวนหลายพันคนที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเดิมไม่กล้าเปิดตัว พวกเขากล้าที่จะเรียกร้องความเป็นธรรม ทำให้คนในวงการบันเทิง นักการเมืองที่มีชื่อเสียงไปถึงวงการสื่อมวลชน รวมทั้งนักธุรกิจระดับประเทศนับเป็นจำนวนหลักร้อยกลายเป็นจำเลย

อย่าง Kevin Spacey, John Lasseter ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของ Pixar, Charlie Rose พิธีกรรายการโทรทัศน์ระดับประเทศ ชีวิตดับวูบทันที เพราะหลักฐานบ่งชัดว่าคนเหล่านี้ผิดจริง

#metoo movement ยังข้ามประเทศไปที่อังกฤษ นักการเมืองชั้นนำหลายคนถูกปลดออกจากตำแหน่ง ตัวอย่างเช่นรัฐมนตรีกลาโหม

NY Times คือ gold standard ของ old media in a new context ผลงานชิ้นนี้เปรียบเสมือนกุญแจที่เปิด pandora box

ไม่ใช่เฉพาะ Weinstein ที่ถูกพิพากษาจำคุก 23 ปี เรื่องนี้เป็น chain effect ในโลกตะวันตกกระตุ้นให้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหงทางเพศออกมาแสดงตัว เป็นผลให้คนที่มีชื่อเสียงจำนวนมากที่เอาเปรียบเพศตรงข้ามถูกลงโทษ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ digital media ไม่มีทางที่จะเล่นบทนี้ได้ ผลงานชิ้นนี้ทำให้ NY Times ได้รับรางวัล Pulitzer

ทุกวันนี้ NY Times มีผลประกอบการที่ดีเหลือเชื่อ มีผู้อ่านเป็นสมาชิก 10 ล้านคน เป็น digital subscriber 9.41 ล้านคน เป็น print subcriber 0.67 ล้านคน มีกำไรเพิ่มทุกปี ที่ NY Times สามารถ transform จาก old media มาเป็นผู้เล่นหลักใน new industry

ประการแรกและประการสำคัญพวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่แค่รายงานข่าว กรณีของ Harvey Weinstein คือ king of investigative news ซึ่ง digital media ไม่สามารถทำได้ หรือถ้าทำได้จะไม่เกิด national impact

ประการที่สอง NY Times ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้พวกเขาไม่ใช่แค่สื่อหนังสือพิมพ์ วินาทีนี้พวกเขามี online news มี pod cast, video channel ของตัวเอง ลงลึกขนาดมี time machine ที่รวบรวมข่าวของ NY Times ตั้งแต่วันแรกที่หนังสือพิมพ์นี้เปิดตัวในปี 1851 เปรียบเสมือน NY Times คือหนังสือประวัติศาสตร์

Transformation is not a choice, it is a mandate.