"อนุสรณ์ ธรรมใจ" ชี้ไม่ควรขึ้นค่าขนส่งเกิน 5-10% หวั่นเงินเฟ้อพุ่งแรง

"อนุสรณ์ ธรรมใจ" ชี้ไม่ควรขึ้นค่าขนส่งเกิน 5-10% หวั่นเงินเฟ้อพุ่งแรง

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ชี้กระทรวงพาณิชย์ควรให้ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคา หลังราคาน้ำมันและพลังงานพุ่งแรง ส่วนการขึ้นค่าขนส่งไม่ควรเกิน 5-10% เพราะหากขึ้นสูงถึง 20% จะกระทบเงินเฟ้อและราคาสินค้ามากเกินไป

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ  อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวว่า สินค้าและบริการใดที่มีต้นทุนสูงขึ้นโดยเฉพาะจากราคาน้ำมันและพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กระทรวงพาณิชย์ควรให้มีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงไม่ใช่ฉวยโอกาสขึ้นราคา

เพราะหากไม่ให้ปรับขึ้นราคาตามต้นทุนจะทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนสินค้าได้ ส่วนสินค้าและบริการจำเป็นพื้นฐานนั้น รัฐบาลควรเข้ามาอุดหนุนหรือแทรกแซงกลไกราคาไม่ให้ราคาสูงเกินจนประชาชนไม่สามารถซื้อหาได้และเกิดความเดือดร้อนในการดำรงชีวิต

 

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของสมาพันธ์ขนส่งฯ ที่เสนอให้ปรับขึ้นราคาขนส่งนั้นเห็นว่าควรให้ปรับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรับเพิ่มค่าขนส่งไม่เกิน 5-10% หากปรับสูงถึง 20% จะกระทบอัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าและบริการมากเกินไป อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีอาจปรับตัวสูงกว่า 3.5%-4% ได้

และราคาขนส่งที่ปรับเพิ่มนั้นส่วนหนึ่งควรนำไปเพิ่มสวัสดิการให้กับแรงงานขับรถขนส่งที่มีสวัสดิการไม่ดีนักและมีค่าจ้างค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชั่วโมงการทำงานยาวนาน

ทั้งนี้ เขา ไม่เห็นด้วยกับการนำโรคโควิดออกจากการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เนื่องจากจะกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอย่างมาก และกระทบต่อแรงงานรายวัน และยังจะทำให้การป้องกันและควบคุมทำได้ยากลำบากขึ้นเนื่องจากแรงงานรับจ้างรายวันจะไม่บอกนายจ้างว่าตนเองป่วย หรือ ป่วยก็จะไม่ยอมไปรักษาหรือกักตัวเป็นพาหนะของการแพร่เชื้อได้

หากไม่มีรักษาฟรีคาดว่าจะมีระบาดมากขึ้นในกลุ่มครอบครัวรายได้น้อยและกลุ่มแรงงาน และในที่สุดจะส่งกระทบเศรษฐกิจรุนแรง หากรัฐบาลยังเดินหน้ารักษาฟรีโดยยังกำหนดให้ โรคโควิดโอมิครอนเป็นโรคเจ็บป่วยฉุกเฉินจะทำให้การกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจไม่สะดุด

รัฐบาลจะมีรายได้จากภาษีมากขึ้นและสามารถนำมาจ่ายให้กับงบประมาณสาธารณสุขได้ เราสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องงบประมาณด้วยการปรับลดงบซื้ออาวุธนำมาเพิ่มให้กระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้การรักษาโควิดสามารถดำเนินต่อไปได้จนกว่าการระบาดจะยุติ ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่เจ็บป่วยที่จำเป็นต้องพัก Hospitel และโรงพยาบาลสนาม รัฐบาลยังคงต้องดูแลค่าใช้จ่ายให้ต่อไป

รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีประกันสุขภาพจากภาคเอกชนอยู่แล้ว ส่วนประชาชนที่ซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชน ต่อไปหากมีการประกาศให้โรคโควิดเป็นโรคประจำถิ่น สมาคมประกันชีวิตไทยก็อาจออกแนวทางในการไม่จ่ายค่าชดเชยรายวันและค่ารักษาพยาบาลอาจไม่ครอบคลุมผู้ป่วยแบบ Home Isolation หรือ รักษาที่บ้าน อันอาจทำให้ประชาชนผู้ถือกรมธรรม์เสียสิทธิได้

การประกาศให้ “โรคโควิด” เป็น “โรคประจำถิ่น” ต้องมีความมั่นใจอย่างชัดเจนว่า โรคโควิดจะไม่กลับมาระบาดและต้องปิดเมืองปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันอีก 

นอกจากนี้ ไม่เห็นด้วยกับการนำวัคซีนคุณภาพต่ำฉีดให้นักเรียน ควรใช้วัคซีนคุณภาพสูงฉีดให้นักเรียน เพราะการใช้วัคซีนคุณภาพต่ำจะไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้ และเกิดความเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพลูกหลานไทยในระยะยาว