Green Office สำนักงานสีเขียว
ในช่วงที่อากาศร้อนระอุ เรื่องของสภาวะโลกร้อนก็กลายมาเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องนำมากล่าวขานกันใหม่ หลังจากที่อาจจะลืมเลือนกันไปบ้างแล้ว
เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกว่า เรื่องของโลกร้อนเป็นเรื่องจริงและไม่ได้ไกลตัวแต่อย่างใด
สาเหตุสำคัญของการเกิดสภาวะโลกร้อน คงหนีไม่พ้นการกระทำของมนุษย์เรานี่เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากกิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินการทางด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งถือได้ว่ามีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการเกิดสภาวะโลกร้อน
ในขณะที่ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กำลังให้ความสนใจและเพิ่มความพยายามในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดผลเสียต่อธรรมชาติน้อยที่สุด กิจกรรมอีกส่วนหนึ่งของภาคธุรกิจ ซึ่งก็คือ การปฏิบัติงานในสำนักงานหรือในออฟฟิศ ก็มีส่วนที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศไม่น้อย หากผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานไม่ตระหนักและแสดงความร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มที่
แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญจากกิจกรรมที่ดำเนินการในสำนักงาน ได้แก่ การใช้พลังงานไฟฟ้า และการใช้วัสดุสำนักงานอย่างฟุ่มเฟือยมักจะได้แก่
การใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับเครื่องมืออุปกรณ์ประกอบการทำงานและทำให้สถานที่ทำงานมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่มักพบเสมอในสำนักงานหรือออฟฟิศต่างๆ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้าแสงสว่าง อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องถ่ายเอกสาร
วัสดุสำนักงานที่มีผลกระทบโดยตรงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ การใช้กระดาษต่างๆ และการใช้น้ำ
การแสดงความมีส่วนร่วมต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของสำนักงานสีเขียว สามารถเริ่มได้ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในสำนักงาน
เช่น พิจารณาเลือกซื้ออุปกรณ์ที่เป็นผลิตภัณฑ์สีเขียว ได้รับการรับรองว่าเป็นอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีฉลากเขียว หรือฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือมีระบบเพิ่มเติมที่จะทำให้เกิดการประหยัดพลังงาน เช่นมีระบบตัดไฟเมื่อไม่ได้ใช้งาน เป็นต้น
วัสดุที่จะนำมาใช้งาน ควรเป็นวัสดุรีไซเคิล หรือเมื่อหมดอายุการใช้งานสามารถนำกลับไปแปรสภาพเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ หรือนำมาใช้ซ้ำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์อย่างสิ้นเปลืองและต้องทิ้งไปเป็นการเพิ่มปริมาณขยะมากขึ้น
ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายจัดซื้อและจัดหา ที่จะต้องพัฒนากระบวนการทำงานเข้าสู่การเป็น ฝ่ายจัดซื้อสีเขียว
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ก็ควรเลือกระบบที่ออกแบบให้ประหยัดพลังงาน มีอายุใช้งานที่ยาวนานกว่า หรือเลือกซื้อจากผู้ขายที่มีบริการรับคืนแบตเตอรี่หรือซากเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่หมดอายุการใช้งานแล้ว
เครื่องถ่ายเอกสารหรือเครื่องพิมพ์ ก็ควรเลือกซื้อแบบถ่ายหรือพิมพ์ได้ 2 หน้าเพื่อประหยัดการใช้กระดาษ สามารถใช้หมึกแบบเติมได้โดยไม่ต้องทิ้งตลับหมึกไปทั้งอัน และสามารถใช้กับกระดาษรีไซเคิลได้
นอกจากการพิจารณาเลือกซื้อวัสดุอุปกรณ์อย่างระมัดระวังด้วยแนวคิดสีเขียวแล้ว การใช้งานวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้ ก็จะช่วยให้สำนักงานหรือออฟฟิศธรรมดาที่มักจะมีการใช้งานวัสดุอุปกรณ์อย่างฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นในกลายมาเป็นสำนักงานสีเขียวได้
เช่น ไม่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้ในขณะไม่ต้องการใช้งาน ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศให้เย็นเกินไปจนต้องสวมเสื้อกันหนาวขณะทำงาน และการเก็บสำเนาเอกสารกระดาษเฉพาะที่จำเป็นหรือที่ต้องเก็บสำเนาตามกฏหมายกฎระเบียบ นอกนั้นให้จัดเก็บเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์
พยายามค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการลดจำนวนกระดาษพิมพ์ เช่น ลดระยะเว้นขอบกระดาษพิมพ์ลงสำหรับเอกสารที่ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ตามรูปแบบมาตรฐาน
การลดขอบกระดาษด้านซ้ายลงจาก 3.175 ซม. หรือ 1.25 นิ้ว เป็น 2.54 ซม. หรือ 1 นิ้ว และลดขอบกระดาษด้านขวาลงเหลือ 1.27 ซม. หรือ 0.5 นิ้ว จะทำให้พิมพ์ข้อมูลเพิ่มขึ้นได้ถึงกว่า 27%
อาจจำเป็นที่จะต้องปรับความเคยชินให้เปลี่ยนไปสู่การเป็นสำนักงานสีเขียวให้มากขึ้น เช่น ปิดไฟ หรือเครื่องปรับอากาศในช่วงพักเที่ยง หรือให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องใช้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลให้มากขึ้น
ระบบการให้แสงสว่าง ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในสำนักงานลงไปได้ การใช้แสงสว่างจากธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพ การใช้อุปกรณ์แสงสว่างประสิทธิภาพสูง การควบคุมแสงสว่างให้เหมาะสำหรับงานที่ทำ ไม่ต้องให้สว่างเกินความจำเป็น
วิธีการง่ายๆ ที่จะลดแสงสว่างที่เกินความจำเป็นก็คือ การถอดหลอดไฟออก
ในโคมที่มีหลอด 4 หลอด หากถอดหลอดออกได้ 2 หลอด จะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ทันที 50% หรือหากถอดหลอดออกได้ 1 หลอด ก็จะลดการใช้ไฟฟ้าไป 25% เป็นต้น
หรือการใช้ระบบเทคโนโลยีตรวจจับความเคลื่อนไหวเพื่อเปิดปิดไฟได้อย่างอัตโนมัติสำหรับบริเวณที่ปกติมักจะไม่มีคนใช้งาน
แนวคิดของการทำงานในสำนักงานสีเขียว ยังอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปกับพฤติกรรมการดำรงชีวิตตามปกตินอกสำนักงาน เช่น การมีจิตสำนึกในการใช้น้ำในครัวเรือน การล้างรถ การใช้ขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัวในบางครั้ง หรือการขับรถอย่างมีวินัยโดยไม่เผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงให้มากอย่างเกินความจำเป็น
คงจะถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยการพัฒนาไปสู่แนวคิดสีเขียว ที่ให้ความใส่ใจต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาสภาวะบรรยากาศของโลก การใช้พลังงานอย่างประหยัด
รวมไปถึงการคำนึงถึงคาถา 3 R ซึ่งได้แก่ การลดการใช้ (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) และ การหมุนเวียนนำมาใช้ใหม่ (Recycle)