มายาคติมะริกัน

มายาคติมะริกัน

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ใกล้ชิดและมีอิทธิพลทางการเมืองและอีกหลายหลากมิติกับไทยมากที่สุดประเทศหนึ่ง

ทั้งที่อยู่ห่างไกลกันมิใช่น้อยและมีความแตกต่างกันหลายอย่างมาก สิ่งนี้เองที่ทำให้คนไทยเข้าใจสหรัฐได้ไม่เต็มที่นัก ทั้งที่คิดว่าฝรั่งนั้นดูง่าย ความเข้าใจอเมริกันนั้นมีมิใช่น้อยที่อยู่บนมายาคติที่คิดขึ้นเองโดยเขาไม่ได้คิดอย่างเดียวกัน หรือมิได้เป็นอย่างที่เราคิด ในเวลาปกติหรือประเด็นที่ไทยได้ประโยชน์ เรื่องนี้ก็ไม่กระไรนักหรอก แต่หากไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังแล้ว ความรู้สึกหงุดหงิดหรือยกตรรกะแห่งมายาคติมาด่าอเมริกันก็เป็นอันเกิดขึ้น อันนี้เป็นทั้งฝ่ายเหลืองฝ่ายแดง ฝ่ายโปรฝ่ายคอน

มายาคติที่ไทยมองอเมริกาโดยใช้โลกทัศน์ของไทยมองนั้นมีเยอะมาก สิ่งแรกที่คิดได้ก่อนเลยคือความเป็นมิตร เรามักคิดโดยอ้างอิงประวัติศาสตร์ว่า อเมริกาเป็นผู้ช่วยไทยให้พ้นจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนไทยก็ช่วยอเมริกาไปรบสงครามเกาหลีกับเวียดนาม ให้ความเป็นมิตรอย่างบริสุทธิ์ใจนี้ต้องเป็นสิ่งจีรังดีงาม ทำให้ชาตินี้ยันชาติหน้าอเมริกาต้องดีต่อไป สนับสนุนและช่วยเหลือไทย ไม่ว่าเรื่องอะไร ซึ่งในความจริงไม่ใช่ เพราะอเมริกาเป็นประเทศ การกระทำใดๆ ของประเทศเสรีประชาธิปไตยมักยึดหลักเหตุผลและผลประโยชน์ของชาติมากกว่าอารมณ์ ตอนนั้นสหรัฐเข้าข้างเราก็เพราะต้องการมิตรช่วยปกป้องสันติภาพในแบบของอเมริกันที่กำลังใหญ่แต่เพียงชาติเดียวในแปซิฟิก ส่วนไทยก็ไม่ได้ไปรบฟรี สมประโยชน์จากการป้องกันภัยคอมมิวนิสต์ด้วย

สหรัฐนั้นมักแบ่งแยกขอบเขตเรื่องราวในประเด็นต่างๆ อย่างชัดเจน เช่นในยุคสงครามเย็น ด้านความมั่นคงนั้นอเมริกาเป็นมิตรกับญี่ปุ่น แต่เป็นศัตรูกับจีน เพราะระบอบการปกครองกับความเชื่อนั้นแตกต่างกัน แต่ในด้านเศรษฐกิจ สหรัฐกลับหวาดกลัวภัยเหลืองของญี่ปุ่นที่เข้ามายึดธุรกิจอเมริกันถึงแผ่นดินใหญ่ได้ แต่กับจีนกลับไม่เป็นปัญหา กลับเกื้อกูลกันจนจีนแข็งแกร่งขึ้นในทศวรรษ 90 สวนทางกับญี่ปุ่น การปราศจากมิตรแท้และศัตรูถาวรจึงเป็นสรณะของอเมริกันเป็นสิ่งที่คนไทยไม่เข้าใจ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนจึงไม่พอใจสหรัฐที่ไม่สนับสนุนคนของรัฐบาลไทยขึ้นเป็นประธาน WTO โดยงงว่าในเมื่อเป็นมิตรกัน ทำไมจึงไม่สนับสนุนกัน

มายาคติอีกประการหนึ่งที่นักวิชาการเป็นกันมาก ก็คือความเชื่อที่ว่าอเมริกาเป็นเจ้าโลก เพราะฉะนั้นจะทำอะไรกับโลกนี้ก็ได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือปรากฏการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ล้วนเป็นผลมาจากรัฐบาลอเมริกันหรือไม่ก็ชาวยิว ซึ่งบงการอเมริกาอีกที เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง มายาคติแบบนี้ทำให้เกิด conspiracy theory สารพัด กับเหตุที่อธิบายได้บ้างไม่ได้บ้าง หลายเรื่องมักเป็นเรื่องด้านลบ เช่น อเมริการะเบิดตึกเวิลด์เทรดของตนเอง หรือเป็นหัวหน้าที่แท้จริงของกลุ่ม IS เหตุผลที่มายาคติแบบนี้เกิดขึ้นมาก เพราะอเมริกาดูจะแข็งแกร่งทุกด้าน ความรู้สึกรักมวยรองจึงเกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน ฮอลลีวูดก็มีเสรีในการสร้างนิยายอะไรก็ได้ออกมาเพื่อความบันเทิง หลายเรื่องให้ภาพรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ร้าย จนคนหลงเชื่อว่าต้องเป็นเช่นนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง พัฒนาการของมายาคตินี้นำไปสู่การต่อต้านอเมริกาและหันไปเชียร์ฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน หรือแม้แต่กลุ่มหัวรุนแรงเคร่งศาสนาบางกลุ่ม ในความเป็นจริงแต่ละชาติเขาก็แทรกแซงชาติอื่นเพื่อผลประโยชน์ของเขาถ้าเป็นไปได้ ไม่ใช่บริสุทธิ์กันทุกชาติยกเว้นสหรัฐ

ยังมีการมองภาพชาวอเมริกันผิดเกินจริงอีกมาก เช่น เป็นพวกเสรีทางความคิดและการกระทำจนไม่มีศาสนา ยึดถือแต่ตัวเองจนไม่เคารพผู้ใหญ่ พึ่งสร้างบ้านแปงเมืองมาสองร้อยกว่าปีจึงไม่มีความเป็นอารยะ ไม่ลุ่มลึกในมนุษยศาสตร์แบบชาวเอเชีย ต่างคนต่างคิดถึงผลประโยชน์ของตนเอง ไม่มีการดูแลเกื้อกูลกัน ในความเป็นจริง สังคมอเมริกันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขามีเสรีทางความคิดและการกระทำมาก แต่ก็ไม่สามารถไปละเมิดใครได้เพราะรัฐธรรมนูญห้ามไว้เช่นนั้น ชาวอเมริกันเป็นคนเคร่งศาสนาอย่างที่คนไทยคาดไม่ถึงด้วย ในวันอาทิตย์โบสถ์เต็มไปหมด กิจกรรมศาสนามีจนล้นและหลากหลาย การให้ความสำคัญต่อคนชรานั้นดีเลิศด้วยระบบสวัสดิการและกฎหมายบังคับวิถีให้เป็นเช่นนั้น การช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้นพบเห็นได้ง่ายมากในทุกชุมชน เพราะสิ่งที่พวกเขาคิดและทำ ไม่ได้รวมศูนย์อยู่ที่กำนันหรือนายอำเภอ แต่เป็นตัวพวกเขาเองร่วมมือกันทำเพื่อชุมชนของตน การที่ดูเหมือนไม่เกื้อกูล เช่น เมื่อเด็กโตขึ้นก็หางานทำเอง คนแก่ก็ยังทำงานอยู่ ก็เพราะค่านิยมในการเคารพตัวเอง ไม่เป็นลูกแหง่ของสังคมหรือพ่อแม่ ซึ่งเป็นแนวทางของระบบอุปถัมภ์ชั่วชีวิต

การประเมินโดยใช้อคติตามมายาคตินี้อาจสร้างผลเสียหายได้ หากผู้ที่ใช้นั้นมีความสำคัญต่อสังคมสูง เช่น ผลักดันการแอนตี้อเมริกาจนเสียโอกาสบางอย่าง หรือเชื่อมั่นในความสัมพันธ์มากเกินไปจนไม่เผื่อใจไว้ก็อาจปรับตัวไม่ทัน หากไม่เป็นไปตามหวัง การทำความเข้าใจคนและประเทศที่มีวิถีวัตรปฏิบัติต่างจากเราเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นในโลกแห่งความเชื่อมโยง จนอยากหยุดในการทำความเข้าใจและเปิดกว้างทางความคิด