'ผู้ลี้ภัยยูเครน'ผลพวง-ภาระจากสงคราม

'ผู้ลี้ภัยยูเครน'ผลพวง-ภาระจากสงคราม

การสู้รบในยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่และยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ทำให้มีผู้ลี้ภัยชาวยูเครนไหลทะลักข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโปแลนด์ ที่มีผู้ลี้ภัยข้ามพรมแดนไปแล้วกว่า 100,000 คน

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยข้ามเข้าไปในโปแลนด์มากถึงกว่า 100,000 คน โดยเข้าไปพักพิงภายในศูนย์อพยพชั่วคราวที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์กีฬาหรือสถานีรถไฟ

การต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างกองทัพรัสเซียและยูเครน ที่มีการโจมตีทางอากาศด้วยขีปนาวุธ ทำให้หลายครอบครัว ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้หญิงต้องหนีข้ามพรมแดนเพื่อความปลอดภัย บางครอบครัวต้องเดินเท้าเปล่าเป็นเวลากว่า 2 วันถึงจะถึงพรมแดน ซึ่งนอกจากโปแลนด์แล้ว ยังมีชาวยูเครนที่ลี้ภัยเข้าไปในฮังการี สโลวาเกีย และโรมาเนียด้วย

โปแลนด์ เป็นประเทศที่ชาวยูเครนลี้ภัยเข้าไปมากที่สุดในขณะนี้ โดยมีรายงานว่าผู้ลี้ภัยต้องจอดรถต่อคิวกันยาวถึง 30 กิโลเมตร เพื่อเข้ารับการตรวจเอกสารและผ่านขั้นตอนการข้ามพรมแดน ทำให้ผู้ลี้ภัยจำนวนมากตัดสินใจทิ้งรถไว้ข้างทางและเดินข้ามพรมแดนด้วยตัวเอง
 

“ฟิลิปโป กรานดิ” ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ว่า เวลานี้มีประชาชนที่ต้องหนีภัยความรุนแรงจากการบุกโจมตีของรัสเซียในยูเครนแล้วจำนวนมากกว่า 150,000 ราย

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าจะมีชาวยูเครนราว 1-5 ล้านคน เดินทางไปถึงประเทศในสหภาพยุโรปในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ผู้ชายยูเครนอายุระหว่าง 18-60 ปี ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ เพราะต้องจับอาวุธเพื่อป้องกันมาตุภูมิ

ในครั้งนี้ หลายประเทศแม้แต่โปแลนด์ ซึ่งปกติไม่ยอมรับผู้ลี้ภัย ก็ยังต้องเปิดพรมแดนรับชาวยูเครนเข้าประเทศในขณะที่มีผู้ลี้ภัยอีกจำนวนมากเดินทางเข้าไปในโรมาเนียและสโลวะเกีย

ยกเว้นผู้ชายชาวยูเครนอายุระหว่าง 18-60 ปี ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ เพราะต้องจับอาวุธเพื่อป้องกันมาตุภูมิ

"เออร์ชูลา วอน เดอร์ เลเยน" ประธานคณะกรรมการยุโรป ประกาศแผนของสหภาพยุโรปเพื่อสนับสนุนบรรดาผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นฐานชาวยูเครนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งกับรัสเซีย ผ่านทางสำนักงานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของยุโรป (เอคโค)

ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)วิตกกังวลว่า อาจมีประชาชนยูเครนมากถึง 5 ล้านคนที่ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน ในจำนวนนี้ คาดว่าจะลี้ภัยไปโปแลนด์ราว 3 ล้านคน ซึ่งมากกว่าเมื่อคราวที่เกิดวิกฤตผู้อพยพเมื่อปี 2558 สืบเนื่องจากความขัดแย้งและสงครามในซีเรีย อัฟกานิสถาน และประเทศอื่น ๆ ทำให้มีผู้ลี้ภัยเข้าไปในยุโรปราว 1.3 ล้านคนภายใน 1 ปี มากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

ในครั้งนั้นเยอรมนีต้อนรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศมากที่สุด ในขณะที่ประเทศในยุโรปตะวันออกอย่าง โปแลนด์และฮังการี ต่างไม่รับหรือพยายามกีดกันผู้ลี้ภัย โดยโปแลนด์สร้างกำแพงสูงตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันผู้ลี้ภัยชาวตะวันออกกลางที่เดินทางผ่านมาทางเบลารุส

แต่ครั้งนี้ โปแลนด์ตัดสินใจเปิดประตูต้อนรับชาวยูเครนด้วยความยินดี รัฐมนตรีกิจการภายในของโปแลนด์ กล่าวว่า รัฐบาลโปแลนด์จะรับผู้ลี้ภัยชาวยูเครนทุกคนที่เดินทางมาถึงพรมแดน พร้อมจัดตั้งศูนย์รับผู้ลี้ภัยหลายแห่งตลอดแนวพรมแดนติดกับยูเครนที่มีความยาวประมาณ 500 กม.

ส่วนฝรั่งเศส “มารีน เลอ เป็ง” ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคแนวทางอนุรักษ์นิยม สนับสนุนให้รัฐบาลรับผู้ลี้ภัยชาวยูเครนเข้าประเทศ ซึ่งต่างจากท่าทีเดิมของเธอที่ต่อต้านผู้ลี้ภัยจากอัฟกานิสถาน

การเคลื่อนไหวของหลายประเทศในยุโรปที่ไม่รังเกียจรังงอนบรรดาผู้ลี้ภัยสงคราม ทำให้บรรดาองค์กรสิทธิมนุษยชนแสดงความยินดีต่อท่าทีของบรรดาประเทศในยุโรปที่เปิดประตูต้อนรับผู้ลี้ภัยชาวยูเครน แต่ก็แสดงความกังวลในการเลือกปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยกลุ่มต่าง ๆ อย่างไม่เท่าเทียม รวมทั้งหวั่นเกรงว่าเมื่อสงครามในยูเครนยืดเยื้อออกไป ยุโรปอาจยินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยจากยูเครนลดลงได้