เปิดจุดยืน'สี จิ้นผิง'ผ่านเวทีประชุม'WEF'

เปิดจุดยืน'สี จิ้นผิง'ผ่านเวทีประชุม'WEF'

เปิดจุดยืน'สี จิ้นผิง'ผ่านเวทีประชุม'WEF' ขณะผู้นำจีนระบุ ประเทศมหาอำนาจต่างๆ ควรล้มเลิกแนวคิดแบบสงครามเย็นในขณะที่กำลังมีความตึงเครียดในระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้น

 ประธานาธิบดีจีน แสดงวิสัยทัศน์ในการกล่าวเปิดประชุม World Economic Forum (ดับเบิลยูอีเอฟ)แบบออนไลน์ เน้นย้ำความร่วมมือจากทั่วโลก เพื่อกำจัดโรคโควิด-19ให้หมดไป พร้อมเรียกร้องชาติมหาอำนาจเลิกใช้แนวคิด“โลกสงครามเย็น”สร้างความปั่นป่วนแก่ภูมิภาคต่างๆ

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เรียกร้องให้ทุกประเทศทั่วโลกร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกมีมากกว่า 5.5 ล้านคนในขณะนี้ ซึ่งจีน พยายามมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยการแบ่งปันวัคซีนให้กับประเทศต่างๆ ไปแล้วกว่า 2,000 ล้านโดส ทั้งยังมีแผนจะแจกจ่ายวัคซีนเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านโดส

ในจำนวนนี้จีนจะแยกเป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ประมาณ 600 ล้านโดส สำหรับทวีปแอฟริกาและอีก 150 ล้านโดสสำหรับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประธานาธิบดีจีน ยังกล่าวถึงความพยายามและความพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก ถึงแม้จะไม่ได้มีแผนริเริ่มใหม่ใดๆ และไม่ได้เสนอให้ทรัพยากรเพิ่มเติมอื่นใดแต่ประธานาธิบดีสี มองว่าเป็นเรื่องของประเทศพัฒนาแล้วที่จะสนับสนุนเรื่องเงินทุนและเทคโนโลยีแก่โครงการนี้
 

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี ยังเรียกร้องให้ประเทศมหาอำนาจต่างๆ ล้มเลิกแนวคิดแบบสงครามเย็นในขณะที่กำลังมีความตึงเครียดในระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการกล่าวพาดพิงถึงสหรัฐนั่นเอง

ข้อเรียกร้องให้เลิกใช้แนวคิดแบบสงครามเย็นของสี มีขึ้นขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนอยู่ในภาวะตึงเครียด และทั้ง2ฝ่ายยังมีข้อขัดแย้งต่างๆ นับตั้งแต่ประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน ทรัพย์สินทางปัญญา การค้า สิทธิมนุษยชน และปัญหาทะเลจีนใต้ 

ผู้นำจีนใช้คำพูดว่า "เราต้องละทิ้งแนวคิดแบบโลกสมัยสงครามเย็นและพยายามหาทางอยู่ร่วมกันโดยสันติเพื่อให้เกิดผลดีต่อทุกฝ่าย และว่าการปกป้องผลประโยชน์เฉพาะตนรวมทั้งการลงมือดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียวจะไม่สามารถช่วยคุ้มครองใครได้ เพราะในที่สุดแล้ว จะเป็นผลเสียต่อผลประโยชน์ของฝ่ายต่างๆ รวมทั้งของตนเองด้วย และที่เลวร้ายที่สุดคือการปฏิบัติตัวในฐานะเป็นเจ้าโลก เพื่อครอบงำ ชี้นำ และกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น

ผู้นำจีน กล่าวด้วยว่าแนวปฏิบัติแบบที่ฝ่ายใดได้รับชัยชนะหรือได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว หรือ zero-sum approach นั้นไม่ช่วยอะไร เพราะแนวทางที่ถูกต้องสำหรับมนุษยชาติ คือการพัฒนาอย่างสันติ รวมทั้งร่วมมือกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

คำพูดนี้ของประธานาธิบดีสี  เหมือนเป็นการกล่าวย้ำที่เคยกล่าวไว้ตอนเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีนผ่านระบบวิดีโอชาวงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งประธานาธิบดีสี ยืนยันว่า จีนจะไม่รังแกชาติเพื่อนบ้านที่เล็กกว่าในภูมิภาคนี้ ในช่วงที่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้เพิ่มสูงขึ้น

การประชุมสุุดยอดผู้นำอาเซียน-จีน จัดขึ้นแบบทางไกลโดยจีนเป็นเจ้าภาพ ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของความสัมพันธ์อาเซียนและจีน และประธานาธิบดีสี ก็ประกาศว่า จีนและอาเซียนได้ยกระดับเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์แบบคลอบคลุม ถือเป็นก้าวย่างใหม่ในความสัมพันธ์ทวิภาคี และจะเป็นแรงผลักดันครั้งใหม่นำไปสู่สันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่งคั่ง และการพัฒนาในภูมิภาคและโลกโดยรวม

นอกเหนือจากประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว ประธานาธิบดีสี ยังกล่าวย้ำในเวทีประชุมดับเบิลยูอีเอฟถึงคำมั่นสัญญาเดิมที่ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะเปิดระบบเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ควบคุมอยู่ให้กว้างมากขึ้น เพื่อต้อนรับการลงทุนและการแข่งขันจากต่างประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนดำเนินการในหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน แต่กลุ่มธุรกิจต่างๆ ก็มีความเห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ของต่างประเทศ บริษัทเทคโนโลยี รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับข้อจำกัดและไม่สามารถเข้าถึงอุตสาหกรรมต่างๆ ของจีนได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี ยังแสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนในวันข้างหน้า หลังจากเศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา

“ผมมีความเชื่อมั่นอย่างมากต่อเศรษฐกิจในอนาคตของจีน หลังจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2564 ของจีนขยายตัวประมาณ 8% ซึ่งถือเป็นการบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านการเติบโตในระดับสูงและอัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำ” ปธน.สี กล่าว

ประธานาธิบดีสี กล่าวด้วยว่า แม้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศจีนและในต่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปและทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมาก แต่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจจีนยังคงแข็งแกร่ง มีความยืดหยุ่น และมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน

"ความคืบหน้าทางเศรษฐกิจจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนชาวจีนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เราคาดหวังที่จะให้ประชาชนทุกคนมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งการผลักดันให้อุดมคติดังกล่าวกลายเป็นจริงได้นั้น เราจะต้องจัดหาทรัพยากรให้มากขึ้น และจากนั้นจะทำการจัดสรรผ่านการบริหารจัดการที่เหมาะสม” ปธน.สี กล่าว

ถ้อยแถลงของผู้นำจีนมีขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) รายงานว่า ตัวเลขจีดีพีปี 2564 ของจีนขยายตัวถึง 8.1% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ตัวเลขจีดีพีปี 2564 ของจีนขยายตัวรวดเร็วกว่าปี 2563 ที่มีการขยายตัวเพียง 2.2% ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคและภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศ