สหรัฐกดดันบ.พลังงานหลังเอสพีอาร์ส่อไม่ได้ผล

สหรัฐกดดันบ.พลังงานหลังเอสพีอาร์ส่อไม่ได้ผล

กระทรวงพลังงานสหรัฐ เรียกร้องบริษัทพลังงานชั้นนำเพิ่มอุปทานน้ำมัน ขณะโกลด์แมน แซคส์ ระบุ การระบายน้ำมันดิบออกจากคลังสำรอง (เอสพีอาร์)ของหลายประเทศ ที่สหรัฐเป็นแกนนำ เหมือนหนึ่งหยดน้ำในมหาสมุทร ช่วยได้เพียงเล็กน้อย

"เจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐ เรียกร้องให้บริษัทพลังงานของสหรัฐที่ทำกำไรมหาศาลเพิ่มอุปทานน้ำมัน ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามที่จะลดราคาน้ำมันเบนซินสำหรับชาวอเมริกัน

แกรนโฮล์ม กล่าวว่าอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซมีสัมปทานบนพื้นที่สาธารณะ 23 ล้านเอเคอร์ทั้งในและนอกชายฝั่ง และใบอนุญาตอีกหลายพันฉบับที่ไม่ได้ใช้

"อุตสาหกรรมพลังงานทำกำไรมหาศาล พวกเขามีน้ำมันสำรองปริมาณมากจนเหนือระดับก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด จึงถือได้ว่าพวกเขาใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานั้นจึงควรที่จะเพิ่มอุปทานน้ำมันในระบบ”แกรนโฮล์ม กล่าว

คำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีไบเดน ประกาศว่าสหรัฐจะปล่อยน้ำมันหลายล้านบาร์เรลจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกับประเทศอื่นๆ หลังจากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก)ปฏิเสธที่จะรับฟังเสียงเรียกร้องจากสหรัฐในการเพิ่มอุปทาน

นอกจากนี้ แกรนโฮล์มยังระบุว่า คณะบริหารต้องการให้ผู้ผลิตในประเทศมีส่วนร่วมในการเพิ่มอุปทานน้ำมันในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัททำกำไรสูง ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ได้นำเงินส่วนนี้ไปใช้ซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้น

“เราต้องการกระตุ้นให้พวกเขาเพิ่มอุปทาน เราต้องการเพิ่มอุปทานทั้งในสหรัฐและทั่วโลก เพื่อที่จะสามารถลดแรงกดดันต่อปั๊มน้ำมันได้” แกรนโฮล์ม กล่าว
 

 ด้านโกลด์แมน แซคส์ แสดงความเห็นว่า น้ำมันดิบที่ระบายออกจากคลังสำรองของหลายประเทศ ที่นำโดยสหรัฐ (เอสพีอาร์)อาจจะทำให้อุปทานน้ำมันโลก เพิ่มขึ้นประมาณ 70-80 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า การระบายน้ำมันจะมีปริมาณมากกว่า 100 ล้านบาร์เรล

“เมื่อพิจารณาจากแบบจำลองราคาของเรา การระบายน้ำมันจากคลังสำรองในครั้งนี้จะมีมูลค่าไม่ถึง 2 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งต่ำกว่ามากจากการร่วงลงของราคาน้ำมันถึง 8 ดอลลาร์/บาร์เรล ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค.” โกลด์แมน แซคส์ระบุในรายงานที่ใช้ชื่อว่า “A Drop In The Ocean” ซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 23 พ.ย.

ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐ ประกาศระบายน้ำมันดิบจำนวน 50 ล้านบาร์เรลออกจากคลังเอสพีอาร์เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาด ขณะที่รัฐบาลอินเดียประกาศระบายน้ำมันดิบจำนวน 5 ล้านบาร์เรล ซึ่งนอกจากสหรัฐและอินเดียแล้วยังมีสหราชอาณาจักร จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ร่วมระบายน้ำมันดิบในคลังเอสพีอาร์ ถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศครั้งแรกในการดำเนินมาตรการนี้

“ฟูมิโอะ คิชิดะ” นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะระบายน้ำมันบางส่วนออกจากคลังสำรอง เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของสหรัฐ โดยญี่ปุ่นจะดำเนินการดังกล่าวในแนวทางที่ไม่เป็นการละเมิดกฎหมายของประเทศที่กำหนดไว้ว่า การระบายน้ำมันจากคลังสำรองจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีความเสี่ยงที่อุปทานน้ำมันจะเกิดภาวะชะงักงัน

“ที่ผ่านมา เราได้ทำงานร่วมกับสหรัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมันโลก และเราได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกับสหรัฐในการขายน้ำมันบางส่วนในคลังสำรองของเรา ซึ่งเราจะดำเนินการโดยไม่ละเมิดกฎหมายการสำรองน้ำมันในปัจจุบันของญี่ปุ่น” คิชิดะ กล่าว

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนธ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์เมื่อวันอังคาร (23พ.ย.)เพิ่มขึ้น 1.75 ดอลลาร์ ปิดที่ 78.50 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 82.31 ดอลลาร์/บาร์เรล

นักวิเคราะห์จากบริษัท OANDA ให้ความเห็นว่า “น้ำมันดิบที่สหรัฐและชาติพันธมิตรระบายออกจากคลังสำรองนั้น มีปริมาณน้อยกว่าที่คาดไว้ และเราไม่แปลกใจ ถ้าหากว่ากลุ่มโอเปกและโอเปกพลัสจะตัดสินใจชะลอแผนเพิ่มการผลิตน้ำมัน”

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กลุ่มโอเปกพลัสอาจระงับแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. หลังจากที่สหรัฐและชาติพันธมิตรประกาศระบายน้ำมันออกจากคลังสำรอง

พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า มาตรการระบายน้ำมันจากคลังสำรองจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดเพียง 2-3 สัปดาห์จากนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะกลับมาเคลื่อนไหวในช่วงขาขึ้นเหมือนเดิม