ดาวโจนส์ปรับตัวลงในกรอบแคบ 0.53 จุดขณะตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มเกินคาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 0.53 จุด หรือ 0.00% ปิดที่ 34,377.81 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 13.15 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 4,363.80 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 105.71 จุด หรือ 0.73% ปิดที่ 14,571.64 จุด

ฤดูรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐเริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, แบล็กร็อก อิงค์ และเดลตา แอร์ไลน์
 

เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็น ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ รายงานผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นแตะ 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.74 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในไตรมาส 3 ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 9.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.92 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ กำไรต่อหุ้นของเจพีมอร์แกน เชส ยังออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 3 ดอลลาร์ต่อหุ้น

แต่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ลดลง 2.28% ขณะที่หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ลบ 2.25% หุ้นแม็กโดนัลด์ ลดลง 1.19% หุ้นแอ๊ปเปิ้ล ลบ 1.17%
 

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% อยู่เล็กน้อย หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอปรับตัวขึ้น 5.4% ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.3% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 5.3% ในเดือนส.ค.

นอกจากนี้ หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนีซีพีไอพื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน เท่ากับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพื้นฐานเพิ่มขึ้น 4.0% ในเดือนก.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 4.0% ในเดือนส.ค.

รายงานระบุว่า ราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากต้นทุนผลิตภัณฑ์พลังงานที่พุ่งทะยานขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนก.ย. และพุ่งขึ้น 42.1% จากปีก่อนหน้า ส่วนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้น 3.9% เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 42.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว