จีนรีดภาษีฉุดส่งออกยางเวียดนาม

จีนรีดภาษีฉุดส่งออกยางเวียดนาม

ยอดส่งออกยางของเวียดนามร่วงกว่า 1 ใน 4 เมื่อเดือนที่แล้ว เหตุนโยบายภาษีที่เปลี่ยนไปของจีนและกระแสวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า การส่งออกยางของประเทศแตะที่ 8 หมื่นตัน คิดเป็นมูลค่า 116 ล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 6% ในแง่ของปริมาณและ 7% ในแง่ของมูลค่าเทียบกับในเดือนเม.ย.

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวลดลง 26.5% ในแง่ของปริมาณและ 26.2% ในแง่ของมูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

กระทรวงฯ ระบุว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกยางแตะที่ 4.95 แสนตัน มูลค่า 673 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 12% ในแง่ของปริมาณและ 4% ในแง่ของมูลค่าเทียบกับปีที่แล้ว

บรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยาง มองว่า ยอดส่งออกยางที่ลดลงเกิดจากการเปลี่ยนนโยบายภาษีของจีนและกระแสวิตกสงครามการค้าระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง

“การลดลงของมูลค่าส่งออกยางในเดือนพ.ค. ของเวียดนาม เป็นผลจากการที่จีนปรับขึ้นภาษีนำเข้ายางผสมจากเวียดนามเป็น 10%” นายเดือง ต่วน อันห์ รองประธานฝ่ายการตลาดบริษัทเวียดนาม รับเบอร์ กรุ๊ป (วีอาร์จี) ของรัฐบาลเวียดนามเผยกับสำนักข่าวท้องถิ่น

ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 เวียดนามส่งออกยางผสมไปจีนคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของปริมาณการส่งออกยางทั้งหมดจากเวียดนาม

นายเดืองระบุว่า สงครามการค้าทำให้บรรดาผู้ผลิตและผู้ค้าระมัดระวังเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในตลาดยางโลก โดยเฉพาะกับการประชุม “จี20” ในญี่ปุ่นซึ่งจะมีไปจนถึงสิ้นเดือนนี้

“ขณะเดียวกัน สงครามการค้าที่ยืดเยื้ออาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกภาคเกษตรและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกยาง เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับยางเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการส่งออกยางทั้งหมด”

อย่างไรก็ตาม นายเดืองกล่าวว่า ความขัดแย้งทางการค้าน่าจะดึงดูดการลงทุนสู่อุตสาหกรรมยางของเวียดนาม เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ย้ายโรงงานผลิตภัณฑ์ยางของตนจากจีนสู่เวียดนาม เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ

นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว สภาพอากาศร้อนต่อเนื่องในเวียดนาม ไทย และจีน ทำให้ผลผลิตยางชะลอตัวลง โดยเฉพาะในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นเดือนแรกของฤดูกรีดยางใหม่

ข้อมูลจากสมาคมประเทศผลิตยางธรรมชาติ (เอเอ็นอาร์พีซี) ระบุว่า อุปทานยางจะยังล้นเกินความต้องการในปีนี้อยู่ที่ 14.5ล้านตัน ซึ่งรวมถึงที่อยู่ในสต็อก 2.9 ล้านตันจากปีที่แล้ว ขณะที่ความต้องการในตลาดอยู่ที่ 14.4 ล้านตัน