สแกมเมอร์ขยายฐานบุกไทย รัฐบาลพร้อมตั้งรับหรือยัง

สแกมเมอร์ขยายฐานบุกไทย รัฐบาลพร้อมตั้งรับหรือยัง

สแกมเมอร์ขยายฐานบุกเข้าประเทศไทยมากขึ้น จากเดิมที่ตั้งฐานอยุ่ตามแนวชายแดนเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา หรือกัมพูชา เกิดคำถาม ตอนนี้รัฐบาลพร้อมตั้งรับและปราบแก๊งคอลฯ ให้เข้มงวดมากขึ้นหรือยัง

ปัจจุบัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” หรือที่เราเรียกกันทุกวันนี้ว่า “แก๊งสแกมเมอร์” ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรอาชญากรรมกระทำการหลอกลวงเป็นขบวนการ กำลังขยายอาณาจักรอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีการปราบปรามฐานที่ตั้งหรือแหล่งกบดานอย่างต่อเนื่อง ทว่าองค์กรเหล่านี้ยังคงฆ่าไม่ตายและผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จากที่เคยตั้งอยู่รอบประเทศไทยก็เริ่มขยายฐานเข้ามาในไทยแล้ว

ผศ.ดร. ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)  เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในงานสัมมนาโครงการ “Building Network Border Reporters/Regional Media Workshop”  จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยและสำนักข่าวไทยพับลิก้า พบว่า แก๊งต้มตุ๋นเหล่านี้ยังคงไม่หายไปจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ง่ายๆ และขยายตัวเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

สแกมเมอร์ขยายฐานบุกไทย รัฐบาลพร้อมตั้งรับหรือยัง
ผศ.ดร. ณัฐกร วิทิตานนท์

4 สกุลนักต้มตุ๋น

อาจารย์จาก มช. รายนี้จำแนกประเภทแก๊งต้มตุ๋นและพัฒนาการของการหลอกลวงให้เห็นภาพ โดยแบ่งเป็น 3 สกุล ได้แก่ 

สกุลไนจีเรีย: สกุลนี้เกิดขึ้นเป็นกลุ่มแรกๆ มุกดั้งเดิมคือ “กลพิธีเจ้าชายไนจีเรีย” หลอกว่าเป็นคนรวยตกอับขอให้ช่วยเพื่อแลกกับสมบัติตอบแทน กลุ่มนี้เน้นขอเงินจากชาวยุโรป และต่อมาพัฒนาเป็น “โรแมนซ์สแกม” (Romance Scam) หรือการหลอกให้รักแล้วชวนลงทุน 

สกุลรัสเซีย: สกุลนี้เป็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อน อาชญากรมีความรู้ด้านการแฮกข้อมูล หรือการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์เพื่อล็อกคอมพิวเตอร์ ดูดข้อมูลและเรียกค่าไถ่ 

สกุลไต้หวัน: มุกดั้งเดิมคือ “เอทีเอ็มสแกม” เกิดขึ้นในยุค 1990 ที่หลอกให้คนแก่โอนเงินผ่านตู้กดเงินอัตโนมัติ และ

สกุลจีน: เดิมสกุลนี้จะปลอมแปลงบัตรเครดิต แต่พัฒนาการใหม่ไปเป็น “เกมเชือดหมู” คือการหลอกให้เหยื่อลงทุนเรื่อยๆ แล้วค่อยเชิดเงินในภายหลังซึ่งเป็นการหลอกที่สร้างความเสียหายมูลค่าสูง

แก๊งคอลฯ ขยายวงช่วงโควิด

อ.ณัฐกร เผยว่า ในช่วงก่อนโควิด ปี 2561 มีการแจ้งความเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ราว 400 กว่าคดี มูลค่าความเสียหายประมาณ 2 ล้านบาท ต่อมาในยุคโควิดที่มีการปิดพรมแดน แก๊งคอลฯ จะตั้งถิ่นฐานอยู่รอบๆ ประเทศไทย และอาศัยช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่นี้หลอกลวงเหยื่อด้วยการเสนองานรายได้ดี คนที่เชื่อจะตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และในปี 2564 มีคดีความเกี่ยวกับการหลอกลวง 6.4 ล้านครั้ง มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ล้านบาท

หลังจากโควิด แก๊งคอลฯ ขยับขยายเข้ามาในไทยมากขึ้น ในช่วงแรกจะหลอกลวงกลุ่มคนเกษียณที่มีเงินจากนั้นเริ่มหันไปหลอกเด็ก ให้ไปหลอกพ่อแม่อีกที ด้วยการใช้แบล็กเมล์ข้อมูล นอกจากนี้ยังมีการใช้ซิมบ็อกซ์ คือ การโทรผ่านตัวกลางที่มีเบอร์ไทยบรรจุอยู่จำนวนมาก เพื่อติดต่อคนไทยอย่างแนบเนียน ในช่วงนี้มีคดีความเกี่ยวกับแก๊งคอลฯ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2568 ความเสียหายทะลุ 25,000 ล้านบาทแล้ว รูปแบบการหลอกลวงพัฒนามากขึ้น จากเดิมหลอกลวงผ่านทางโทรศัพท์เป็นหลัก ก็หันไปใช้โซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ปลอมเสียง วิดีโอและภาพ เพื่อหลอกลวงเหยื่อ

ผึ้งแตกรังเข้าไทย

อ.ณัฐกร เผยว่า แก๊งอาชญากรข้ามชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย หลังจากจีนสั่งกวาดล้างการพนันออนไลน์ ที่หลอกลวงชาวจีน และกดดันให้ยุติการพนันออนไลน์ในอาเซียน ทั้งในกัมพูชาและฟิลิปปินส์ นำไปสู่เหตุการณ์ผึ้งแตกรังรอบแรกในปี 2019 กลุ่มธุรกิจพนันออนไลน์มักย้ายฐานที่ตั้งไปเรื่อยๆ ช่วงแรกตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทยกับเพื่อนบ้านรอบๆ ตามพื้นที่ยกเว้นที่อนุญาตให้มีกาสิโนและมีระบบกฎหมายอ่อนแอ อาจารย์จาก มช. เรียกแก๊งเหล่านี้ว่า แก๊ง “มังกรหลากสี” หมายถึงกลุ่มทุนสีเทาที่ไม่ใช่คนจีนจากแผ่นดินใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่มีคนเชื้อสายจีนจากประเทศอื่นในอาเซียนด้วย อาทิ จีนมาเลย์ พอหลังโควิดก็เข้ามาในไทยมากขึ้น

ปัจจัยเอื้อแก๊งคอลฯ ผุดในไทย

ในประเทศไทยมีการจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในภาคตะวันออก เช่น พัทยา ชลบุรี แก๊งที่ตั้งถิ่นฐานในไทยมีทั้งต่างชาติที่เป็นมังกรหลากสี คนไทยที่รับดำเนินการให้ต่างชาติ และคนไทยที่ตั้งแก๊งเอง ปัจจุบันแก๊งคอลฯ ในไทยมีขนาดเล็กลง ส่วนใหญ่มีคนงานประมาณ 10 กว่าคน บางกรณีทำคนเดียวโดยอาศัยใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูงช่วยดำเนินการ

ปัจจัยที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงสามารถเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทยได้มาจาก 1.ช่องโหว่ทางกฎหมาย มีการกำหนดข้อกล่าวหาเพียงเล็กน้อยทำให้สาวไปถึงต้นตอของขบวนการไม่ได้ เช่น คดีจับแก๊งบริการซิมบ็อกซ์ โดนแค่ข้อหาใช้สัญญาณไม่ขออนุญาต กสทช. เท่านั้น 2.การทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ เช่น กรณีที่นายอำเภอเวียงแหง จ.เชียงใหม่ ช่วยออกบัตรประชาชนให้กลุ่มจีนเทา 3.การร่วมมือจากสถาบันสำคัญ เช่น กรณีที่ผู้จัดการธนาคารร่วมขบวนการด้วยการอนุญาติเปิดบัญชีม้า (เปิดครั้งละหลายสิบหรือหลายร้อยบัญชี) 4.ประชาชนมีส่วนร่วม เช่น ยอมเปิดบัญชีม้ารับส่วนแบ่งสูง บางกรณีได้ส่วนแบ่งประมาณล้านละ 5,000 บาท และ 5. แก๊งคอลฯ หลีกเลี่ยงมาตรการสกัดกั้นได้ เช่น ใช้ฟาร์มโซลาร์เซลล์และเครื่องปั่นไฟเมื่อถูกตัดไฟฟ้า และใช้ดาวเทียมสตาร์ลิงก์เพื่อทดแทนการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตไทยเมื่อถูกตัด

“จากปรากฏการณ์ครึ่งปีหลังนี้ เราจะเป็นศูนย์ (สแกมเมอร์) เมื่อพวกเขาไม่มีที่ทางไป เขาจะเลือกเข้าประเทศไทย” อ.ณัฐกร เตือน และว่าการดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังไม่ทั่วถึง ส่วนใหญ่ที่จับได้มาจากการร้องเรียนของประชาชนท้องถิ่นที่เห็นความผิดปกติ

อนึ่ง ผลการศึกษาของ อ.ณัฐกร อ้างอิงข้อมูลมาจากข่าวสารในประเทศไทยเกี่ยวกับ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” และข้อมูลจากตำรวจเป็นหลัก โดยตรวจสอบข้อมูลตั้งแต่ปี 2563 ในยุคที่ยังมีข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก จนถึงปี 2568 ที่เรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงแห่งปี 

สวรรค์แดนฟอกเงิน

รศ.ดร.ทศพล ทรรศนพรรณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เปิดเผยผลการวิจัยเรื่อง “การฟอกเงินที่ได้จากการก่ออาชญากรรมไซเบอร์และแนวทางการนำทรัพย์สินมาสร้างกองทุนเยียวยาผู้เสียหาย” พบว่า ไทยเป็นแหล่งฟอกเงินที่สะดวก และมีมาตรการเยียวยาเหยื่อที่ล่าช้า

สแกมเมอร์ขยายฐานบุกไทย รัฐบาลพร้อมตั้งรับหรือยัง
รศ.ดร.ทศพล ทรรศนพรรณ

อ.ทศพล เผยว่า ปัจจุบันองค์กรอาชญากรรมพัฒนาโครงสร้างด้วยการทำธุรกิจแยกส่วนกันเป็นระบบ อาทิ ฝ่ายคอลเซ็นเตอร์ ฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายฟอกเงิน ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เดียวกันหรือประเทศเดียวกัน และแต่ละฝ่ายจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยให้บริการ และที่องค์กรยังอยู่ได้ก็เพราะมีการระดมทุนจากคนทั่วไปที่มองว่าธุรกิจเหล่านี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

ในการฟอกเงิน แก๊งเหล่านี้จะนำเงินไปซื้อทรัพย์มูลค่าสูง ทั้งอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโด โรงงานร้าง ร้านค้า รวมถึงสินค้าหรู และงานศิลปะ และยังมีผู้ร่วมขบวนการทางกฎหมายคอยอำนวยความสะดวก เช่น สำนักงานทนายความ นายหน้าอสังหาฯ และผู้ตรวจสอบบัญชี

“คนพวกนี้ชอบใช้เงินเปิดเผย อึกทึกคึกโครม อดไม่ได้ และที่ที่เป็นสววรค์ของคนพวกนี้คือ ที่นี่ (ไทย)” อ.ทศพลกล่าว

จากการประเมินโอกาสในการตั้งฐานของแก๊งคอลฯในไทย อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์พบว่าภูมิภาคที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมที่สุดคือ ภาคตะวันออก เนื่องจากมีกฎระเบียบหละหลวม มีลักษณะภูมิประเทศเอื้อต่อการซ่อนตัว และมีระบบโลจิสติกส์ที่สะดวก รองลงมาเป็นกรุงเทพฯ แต่มีการปราบปรามที่รุนแรงกว่า ถัดมาคือเชียงใหม่ เพราะมีลักษณะภูมิประเทศที่น่าอยู่ และที่น่าจับตาคือภาคอีสาน หากมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเข้ามาก็มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่วนพื้นที่เสี่ยงน้อยคือจังหวัดชายแดน อย่าง อ.แม่สอด จ.ตาก เพราะหน่วยงานความมั่นคงจับตาอยู่ ขณะที่ภาคใต้มีธุรกิจเจ้าถิ่นที่ยากจะต่อกรด้วย

ปฏิรูปการทำงาน-เยียวยาเหยื่อ

ปัจจัยที่ทำให้จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเยียวยาเหยื่อล่าช้า มีหลายสาเหตุ อาทิ ความล่าช้าของระบบรัฐ ทั้งกระบวนการรับแจ้งเหตุ, สืบเส้นเงิน, อายัด, และการคืนเงิน ขณะที่เจ้าหน้าที่บางหน่วยงานมีภาระงานล้นมือ เช่น พนักงานสอบสวนมีคดีคั่งค้างจำนวนมากบางครั้งตำรวจและเหยื่อเกิดความขัดแย้งกันเอง ปัญหาเชิงอำนาจและกฎหมายก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ปัจจุบันยังไม่มีการเรียกร้องให้มีการขยายเขตอำนาจศาลสำหรับคดีอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ ทำให้การจัดการปัญหายังคงถูกจำกัดอยู่ภายในประเทศเท่านั้น

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาในอนาคต อ.ทศพล บอกว่า ควรมีมาตรการการเยียวยาเหยื่อที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยอาจารย์เสนอให้นำเงินที่ยึดได้จากองค์กรอาชญากรรม (ไม่รวมเงินจากผู้เล่นพนัน) มาเฉลี่ยคืนให้เหยื่อ และแนะให้ตั้งกองทุนเยียวยาไตรภาคีโดยให้ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มต่างๆ ช่วยจ่ายเงินสมทบ พร้อมย้ำให้องค์กรต่างๆ จัดการข้อมูลรั่วไหลอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าข้อมูลจะรั่วจากแฮกเกอร์หรือลูกจ้าง หน่วยงานต้องกล้าเตือนประชาชนทันที และแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ยังคงต้องเข้มงวดเรื่องกฎหมาย PDPA และความปลอดภัยไซเบอร์

แม้ผู้วิจัยมองว่าในอนาคตสถานการณ์แก๊งคอลฯ อาจรุนแรงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่การที่ประชาชนมีความระมัดระวัง แจ้งความหรือร้องเรียนกันมากขึ้น ถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า “ประชาชนยังมีความหวังในกระบวนการยุติธรรม”