ข้าวพม่าจะแซงหน้าข้าวไทย ?

อย่าประมาทเป็นอันขาด รออีก 2 ปี การตั้ง MRIA ส่งออกข้าวพม่าไปหลักเกินล้านตันนั้น ทำให้พม่ากลับมาทวงแชมป์ข้าวโลกได้หรือไม่ ต้องลุ้น!!

สมาคมอุตสาหกรรมข้าวของพม่า (Myanmar Rice Industry Association : MRIA) ตามเว็บไซต์ของ Bloomberg (www.bloomberg.com ) ได้รายงานว่า พม่าจะส่งออกข้าวในปี 2015 ประมาณ 3 ล้านตัน โดยเน้นการส่งออกข้าวไปที่ตลาดจีนเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาในตลาดญี่ปุ่น ยุโรป รัสเซีย สเปน โปรตุเกส เบลเยียมและประเทศในยุโรปอื่นๆ รวมทั้งตลาดในแอฟริกา ผมเลยสงสัยว่าแล้วก่อนหน้านี้ การส่งออกข้าวของพม่าไปยังตลาดโลกเป็นอย่างไรบ้าง มีปริมาณเท่าไร เพราะเดิมพม่าเคยได้ชื่อว่าเป็น "ชามข้าวแห่งเอเชีย (Rice Bowl of Asia)" นั่นหมายความว่าอย่างไร

หากมาดูสถิติที่ย้อนกลับไป 50 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2506) โดยเมื่อปี 2506 ถือได้ว่าเป็นปีที่พม่ามีการส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยส่งออกจำนวน 1.6 ล้านตัน (ปี 2515 ข้าวไทยส่งออก 1.3 ล้านตัน) และก็ส่งออกระดับมากกว่าล้านต้นจนถึงปี 2511 และหลังจากนั้นในรอบ 45 ปีที่ผ่านมาพม่าไม่เคยส่งออกได้มากกว่า 1 ล้านต้นอีกเลย (มีเพียงสองปีเท่านั้นที่แตะ 1 ล้านต้น) และเมื่อเข้าสู่ช่วง 2 -3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2011 พม่าส่งออก 700,000 ตัน เพิ่มเป็น 1.5 ล้านตันในปี 2012 และในปี 2013 จะส่งออก 2 ล้านตัน

แต่หากดูข้อมูลย้อนหลังลึกลงไปมากกว่านั้นคือในช่วงที่พม่าอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในช่วงปี 1824 ถึง 1948 พบว่า ในช่วงปี 1901-20 พม่าส่งออกข้าวสารได้ 2.1 ล้านตัน และในปี 1921 มีพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าว 4.7 ล้านเฮกต้าร์ (ประมาณ 28.3 ล้านไร่) ผลิตข้าวเปลือกได้ 7.4 ล้านตัน และส่งออกข้าวสารได้ 2.8 ล้านตัน และตลอดช่วง 90 ปีผ่านมา (จากปี 1921 ถึง 2012) พบว่าพม่ามีการขยายพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวเพิ่มขึ้นเกือบ 19 ล้านไร่ โดยในปี 2012 มีพื้นที่ปลูกประมาณ 47 ล้านไร่ (ที่มา Theingi Myint (2007) MAPT (2003) และ Hnin (2010))

เป็นที่น่าสังเกตครับว่าในช่วง 30 ถึง 40 ปีที่ผ่านมานั้น พม่าส่งออกข้าวสารไปยังตลาดโลกได้ไม่ถึงหนึ่งล้านตัน ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปี 1921 และเข้าสู่ระดับต่ำสุดในปี 2549 ที่ส่งออกเพียง 31,000 ล้านต้น ทำไมอยู่ดีๆ การส่งออกข้าวพม่าจึงสะดุดและลดลงในที่สุด สำหรับสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้พม่าเสียแชมป์ในการส่งออกข้าวสาร มาจากการที่ผลผลิตข้าวลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากสิทธิในการถือครองที่ดินของเกษตรกรพม่าที่ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินได้ จึงทำให้ชาวนาไม่เกิดแรงจูงใจในการผลิต

นอกจากนั้นเป็นสาเหตุของการขาดการพัฒนาที่ดิน รวมไปถึงระบบชลประทานที่มีไม่ทั่วถึง โดยทั่วไปแล้วเกษตรกรของพม่าส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายเล็ก มีพื้นที่ถือครองที่ดินเฉลี่ยรายละ 10 ไร่ ซึ่งไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะพัฒนาและปรับปรุงดินส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง เหตุผลต่อมาคือต้นทุนในการผลิตข้าวสูงได้แก่ ค่าแรงงาน ค่าพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องจักร และที่สำคัญมากกว่านั้นคือการขาดระบบสินเชื่อจากรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือด้านการกู้ยืม และในระยะ 4 ถึง 5 ปีที่ผ่านมา การทำการเกษตรในพม่าประสบปัญหาภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วม ที่หนักสุดในปี 2551 ที่ประสบกับพายุไซโคลนนาร์กีส เหตุผลต่างๆ เหล่านี้ทำให้พม่าได้หลุดออกจาก "เวทีการค้าข้าวโลก"

อย่างไรก็ตาม "พม่ายุค AEC" ได้เปลี่ยนไปครับ ประเทศเค้าได้ "Set Zero" การผลิตข้าวประเทศใหม่ โดยได้ตั้งเป้าให้ข้าวเป็นหนึ่งในพืชที่สำคัญที่จะทำรายได้ให้กับประเทศและตั้งเป้าหมายว่าจะต้องกลับขึ้นมา เป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลกอีกครั้ง นโยบายแรกที่เค้าทำคือการจัดตั้งสมาคมอุตสาหกรรมข้าวของพม่า (Myanmar Rice Industry Association : MRIA) เพื่อขับเคลื่อนเรื่องข้าวโดยเฉพาะ MRIA ถูกตั้งเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา โดยเป็นการรวมกลุ่มของสมาคมผู้ค้าโดยเฉพาะข้าว (Myanmar Rice and Paddy Traders’ Association) มีนักธุรกิจใหญ่ในพม่า นายชิตไค (Mr. U Chit Khine) ที่เป็นเจ้าของกลุ่มบริษัท Eden Group of Companies เข้ามาเป็นประธานสมาคม บทบาทของ MRIA คือ ให้คำแนะนำแก่บริษัทที่ต้องการส่งออกข้าว นอกจากนี้ยังเป็นเวทีของการรวมตัวของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการให้เข้ามาช่วยคิดเพื่อพัฒนาข้าวของพม่า

นอกจากนี้ยังปรับปรุงอุปสรรคต่างๆ เช่น สาธารณูปโภคของท่าเรือที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งสร้างท่าเรือและเขตอุตสาหกรรมทีราวาที่อยู่ใกล้กับย่างกุ้ง เพื่อให้สามารถส่งออกได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ข้าวที่เป็นหน้าเป็นตาของพม่า ที่จะเข้าสู่ตลาดโลกในอนาคตอันใกล้นี้ มี 3 ประเภทด้วยกันได้แก่ข้าว Pearl Rice เป็นข้าวเมล็ดสั้นที่ชาวพม่านิยมบริโภคกัน ข้าวประเภทนี้พม่าส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ ข้าว Paw San Hmue เป็นข้าวเมล็ดยาวคุณภาพสูง ซึ่งได้รับรางวัลข้าวคุณภาพดีที่สุดของโลกประจำปี 2554 (Best Rice in the world 2011) จากการประชุมผู้ค้าข้าวโลก (The Rice Trader : TRT) ข้าวประเภทนี้ปลูกมากแถบเมืองพะโค และเขตย่างกุ้ง ส่วนข้าวประเภทสุดท้ายคือข้าว Lone Thwe Hmue เป็นข้าวหอมคุณภาพสูงที่สุด

พม่าจะกลับมาทวงแชมป์ข้าวโลกได้หรือไม่ และจะกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญเข้ามาแซงหน้าประเทศไทยได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยครับ อันแรกคือประเทศพม่าเองว่าจะพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวของเค้าได้มากน้อยแค่ไหนทั้งการผลิตและคุณภาพ จุดเด่นของพม่าในการผลิตข้าวคือการมีปริมาณน้ำธรรมชาติที่มากพอต่อการปลูกข้าว และปัจจัยของ AEC จะเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวของพม่าได้เร็วขึ้น โดยใช้พม่าเป็นฐานในการส่งออก ต้นทุนในการทำธุรกิจที่ต่ำก็เป็นปัจจัยเสริมเข้ามาช่วยให้ข้าวพม่าเดินไปข้างหน้าเร็วขึ้น ปัจจัยที่สองขึ้นกับการพัฒนาข้าวไทยในอนาคตว่าจะไปในทิศทางใด

ในระยะสั้นๆ ผมคิดว่าข้าวพม่าคงยังไม่สามารถเข้ามาต่อกรกับข้าวไทยได้ แต่อย่าประมาทเป็นอันขาด เพียง 2 ปีของการตั้ง MRIA การส่งออกข้าวของพม่าไปหลักเกินล้านตัน ในอดีตเราไม่เคยคิดว่าเวียดนามจะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวของไทยในตลาดโลก แต่ปรากฏว่าปัจจุบันแซงหน้าเราไปแล้ว หากประเทศไทยยังหาทางออกของการพัฒนาข้าวไทยไม่เจอว่า เราควรพัฒนาข้าวไปในทิศทางใดและต้องเน้นพัฒนาตรงไหน เพื่อทำให้ห่วงโซ่ข้าวของไทยเข้มแข็งทั้งระบบ ผมคิดว่าระยะกลางน่าจะเห็นอะไรน่าลุ้นๆ ระหว่างข้าวไทยกับข้าวพม่าในตลาดโลกเป็นแน่