ปฏิกิริยาต่อ'ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส'

"ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส"ถอนตัวชิงตำแหน่งประธานเฟด "หุ้น-เงิน"ขานรับ เหตุนักลงทุนมองว่าเฟดจะเป็นแบบผ่อนคลายต่อไป หากไม่ใช่คนชื่อ "ซัมเมอร์ส"
ทันทีที่ นายลอว์เวนซ์ ซัมเมอร์ส ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลาดหุ้นและตลาดเงินทั่วโลกขานรับ โดยเฉพาะบรรดาสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ราคาทะยานขึ้นอย่างมาก
คำถามว่าทำไมการถอนตัวของนายซัมเมอร์สจึงส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ตั้งแต่ตลาดวอลล์สตรีท จนถึงเอเชียและยุโรป
นายซัมเมอร์ส ปัจจุบันวัย 58 ปีเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้อำนวยการคณะกรรมการเศรษฐกิจแห่งชาติ (เอ็นอีซี) คนแรกของประธานาธิบดี บารัก โอบามา และเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน
ก่อนหน้านั้น นายซัมเมอร์ส เคยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลัง
นายซัมเมอร์ส ถือเป็นคนที่ฉลาด แต่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดตั้งแต่อายุ 28 ปี แต่ลักษณะการพูดที่โผงผาง เขาทำให้เขามีศัตรูอยู่ทั่วไป แต่จากประสบการณ์ ความสำเร็จในสายอาชีพและการทำงานร่วมกับประธานาธิบดีโอบามาทำให้มีแนวโน้มที่จะได้รับการพิจารณาสำหรับตำแหน่งประธานเฟด ก่อนที่จะตัดสินใจถอนตัว
นับตั้งแต่ลาออกจากทำเนียบขาวในปี 2553 นายซัมเมอร์สกลับไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด และเข้าร่วมเป็นกรรมการบริหารของบริษัทเอกชนหลายแห่ง และเป็นที่ปรึกษาพิเศษชั่วคราวสำหรับบริษัท Andreessen Horowitz
นอกจากนี้ ยังทำงานให้กับกองทุน D.E. Shaw ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ตั้งแต่ปี 2549 ถึงเดือนพ.ย. 2551 ก่อนจะได้รับเลือกจากประธานาธิบดีโอบามาให้เป็นผู้อำนวยการเอ็นอีซี
นายซัมเมอร์สมีทรัพย์สิน 7.2-24.5 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่านายเบน เบอร์นันเก้ ที่มีทรัพย์สินเพียง 1.1-2.3 ล้านดอลลาร์
วุฒิสมาชิกจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่สังกัดพรรคเดโมแครต ได้วิพากษ์วิจารณ์นายซัมเมอร์สกรณีที่ได้ผ่อนคลายกฎข้อบังคับในภาคธนาคาร และไม่ได้ออกกฎระเบียบควบคุมตราสารอนุพันธ์ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในทศวรรษ 1990 ในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเวลาต่อมา
นายซัมเมอร์สถูกโจมตีว่าการทำงานที่ซิตี้ กรุ๊ป และกองทุน เฮดจ์ฟันด์ดี.อี.ชอว์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีความใกล้ชิดมากเกินไปกับแวดวงการเงินที่เฟดกำกับดูแลอยู่
วุฒิสมาชิกสายเสรีนิยมหลายคนในพรรคเดโมแครตประกาศต่อต้านนายซัมเมอร์ส อย่างเปิดเผย ขณะที่สนับสนุนให้นางเจเน็ท เยลเลน รองประธานเฟด ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่
อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้สนับสนุนนายซัมเมอร์ส เห็นว่าความเข้าใจในตลาดวอลล์สตรีท ของนายซัมเมอร์สอาจจะเป็นประโยชน์อย่างมากในยามวิกฤติ
หากเทียบกับนางเยลเลน ปัจจุบันวัย 67 ปีเป็นรองประธานเฟดมาตั้งแต่ปี 2553 โดยเป็นผู้สนับสนุนมาตรการเชิงรุกที่ดำเนินการภายใต้การบริหารของนายเบอร์นันเก้เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ส่งผลให้นางเยลเลน มีชื่อเสียงในด้านการเป็นผู้กำหนดนโยบายสายพิราบ ซึ่งจะยอมให้มีเงินเฟ้อเล็กน้อย เพื่อลดอัตราการว่างงาน ซึ่งเห็นว่าสูงเกินไป
หากได้รับเลือกขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเฟดต่อจากนายเบอร์นันเก้ นางเยลเลนจะเป็นประธานเฟดที่เป็นสตรีคนแรกของเฟดซึ่งก่อตั้งมานาน 100 ปี
ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งในปัจจุบัน นางเยลเลนเป็นประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก และเคยเป็นประธานคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน และเคยเป็นผู้ว่าการคณะกรรมการเฟดในวอชิงตันตั้งแต่ปี 2547-2550
นางเยลเลนเคยเป็นอดีตศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยเบิร์คเลย์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง โดยนางเยลเลนเริ่มงานด้วยการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ก่อนย้ายมาทำงานที่เฟด
หากนางเยลเลนได้รับการคัดเลือก ก็จะถือว่าสอดคล้องกับความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีหลายสำนักสำรวจความเก็บถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไป
ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกเป็นประธานเฟดคนต่อไป แต่ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นและตลาดเงินทั่วโลก ได้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนหรือตลาดต้องการให้เฟดดำเนินการอย่างไรและต้องการประธานเฟดคนใหม่มีแนวคิดแบบไหนกับการแก้ปัญหาขณะนี้
หลังจาก นายซัมเมอร์ส ประกาศถอนตัว ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) จะมีการประชุมครั้งสำคัญวันที่ 17-18 ก.ย.นี้
ตลาดกำลังจับตาว่าการประชุมครั้งนี้ เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์จากอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนเมื่อไรและวงเงินเท่าไร
นักลงทุนมองว่านโยบายการเงินของเฟดจะเป็นแบบผ่อนคลายต่อไป หากไม่ใช่คนชื่อ "ซัมเมอร์ส"
และหากประธานเฟดคนใหม่ ชื่อ "เจเน็ท เยลเลน" นโยบายจะต่างออกไป
บรรดานักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์คาดว่าหากนางเยลเลนเป็นประธานเฟด อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะยังคงอยู่ที่ระดับ 0% ต่อไปอีกนานและมีความเป็นไปได้ที่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกจะเลื่อนออกไปจนถึงปี 2559 แทนที่จะเป็นปี 2558 ตามแผนในขณะนี้
ยิ่งเมื่อดูจากการกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งที่ผ่านมา ของนางเยลเลน ดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่การลดอัตราว่างงานเป็นภารกิจสำคัญอันดับหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ง่ายนักที่จะลดวงเงินหรือยกเลิกคิวอี เพราะขณะนี้อัตราว่างงานยังอยู่ระดับ 7.3% เมื่อเทียบกับเป้าหมายของเฟดที่ 6.5%
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะบรรดานักลงทุนที่กำลัง"เสพติด"เม็ดเงินคิวอีมานานหลายปี
แต่หากเป็นนายซัมเมอร์ส ซึ่งไม่นิยมนโยบายแบบเชิงรุก อย่างเช่น มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ดังนั้น มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นประธานเฟด ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต แต่ในวันนี้ "ตลาด"ได้ส่งสัญญาณให้เฟดรับรู้แล้วว่า"ต้องการ"อย่างไร
สิ่งท้าทายใหญ่สำหรับเฟด รวมทั้งธนาคารกลางทั่วโลกต่อจากนี้ไป ไม่ใช่เรื่องการลดหรือเลิกคิวอีเมื่อไร แต่อยู่ที่จะจัดการกับ"ตลาด"ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันได้อย่างไร
ในครั้งนี้ หากทุกอย่างเป็นไปตามคาดการณ์ของ"ตลาด" และตอบรับอย่างดี จากดัชนีหุ้นทะยานขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้ เศรษฐกิจการเงินโลกอาจเปลี่ยนโฉมอย่างมาก เพราะ"ตลาด"มีขนาดใหญ่จริงๆ จนสามารถเลิกประธานเฟด หรือ บงการว่าต้องการแบบไหน
นั่นเป็นการท้าทายที่แท้จริงของธนาคารกลาง







