จับลูกค้า ‘ประเทศ’ แทนบิ๊กเทค กลยุทธ์ ‘โตต่อ’ ของ Nvidia

จับลูกค้า ‘ประเทศ’ แทนบิ๊กเทค กลยุทธ์ ‘โตต่อ’ ของ Nvidia

‘เจนเซน หวง’ แห่ง Nvidia กำลังเดินเกมครั้งใหม่เพื่อรักษาอำนาจนำ เมื่อจีนและบิ๊กเทคเริ่มลดการพึ่งชิปของเขา กลยุทธ์ ‘อธิปไตย AI’ จึงถูกหยิบขึ้นมาเป็นหมากเด็ด เปลี่ยนจากการขายให้บริษัทเทคไม่กี่ราย ไปสู่การเจาะตลาดที่กระเป๋าหนักกว่า นั่นคือ ‘รัฐชาติ’ โดยตรง

ท่ามกลางกระแส AI บูมที่ส่งให้ “Nvidia” บริษัทผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ ผงาดขึ้นมามีมูลค่าสูงที่สุดในโลกที่ 4.59 ล้านล้านดอลลาร์ การเติบโตอันร้อนแรงนี้ดูเหมือนจะเจอ “ตอสะดุด” หรือไม่ เมื่อลูกค้ารายใหญ่ที่สุดอย่าง “จีน” ซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้ 1 ใน 3 ของ Nvidia ประกาศฟ้าผ่า ไม่ซื้อชิปนี้อีก พร้อมเร่งหนุนให้ใช้ชิปในประเทศแทน 

ไม่เพียงเท่านั้น เหล่า “บิ๊กเทค” อย่าง Google, Meta, Microsoft หรือแม้แต่ OpenAI ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Nvidia ต่างก็เร่งผลิตชิปของตนเอง หรือร่วมกับผู้ผลิตรายอื่นอย่าง AMD และ Broadcom พัฒนาแทน เพื่อค่อย ๆ ลดการพึ่งพาชิป Nvidia อย่างเดียว 

ท่ามกลางแรงกดดันเช่นนี้ คำถามใหญ่คือ “เจนเซน หวง” (Jensen Huang) ซีอีโอผู้บุกเบิก จะหากลยุทธ์ใดมารับมือ? 

เพื่อรักษาการเติบโตในระดับสูงได้ต่อ หนึ่งในคำตอบที่เริ่มเห็นชัดคือ การหันเหจากพึ่งพาลูกค้า “กลุ่มบิ๊กเทค” ไปสู่การเจาะตลาด “ประเทศ” โดยตรง เพราะหากวันหนึ่ง Microsoft หรือ Google เปลี่ยนไปใช้ชิปของตนเองเป็นหลัก รายได้ของ Nvidia ย่อมสั่นคลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดัน “Sovereign AI” หรือ “อธิปไตยทางปัญญาประดิษฐ์” จึงกลายเป็นหมากใหม่ที่หวงใช้ เพื่อผูกโยง Nvidia เข้ากับยุทธศาสตร์เทคโนโลยีของรัฐชาติทั่วโลก

จับลูกค้า ‘ประเทศ’ แทนบิ๊กเทค กลยุทธ์ ‘โตต่อ’ ของ Nvidia - เจนเซน หวง (ภาพ: Reuters) -

ปาร์ตี้ 2 พันล้านปอนด์ เปลี่ยนเกม AI โลก

ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เจนเซน หวง ได้พบปะกับผู้นำรัฐบาลต่างชาติ ไม่น้อยกว่า 12 ประเทศทั้งในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลางอย่างเปิดเผย และยังมีการประชุมเบื้องหลังอย่างถี่ยิบระหว่าง Nvidia กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั่วโลก เดือนหนึ่งมีหลายครั้งเลยทีเดียว

ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า หวงปรากฏตัวในงานเลี้ยงสังสรรค์อันหรูหราที่กลางกรุงลอนดอน หลังเข้าร่วมงานเลี้ยงพระราชทานที่ปราสาทวินด์เซอร์ร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์ และ สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 โดยในวันถัดมา หวงได้จัด “ปาร์ตี้พิเศษ” ที่กลายเป็นเวทีการเมือง–เศรษฐกิจด้านเทคโนโลยีครั้งสำคัญ

ต่อหน้าผู้ประกอบการและนักลงทุนร้อยกว่าคน หวงประกาศลงทุนกว่า 2 พันล้านปอนด์ในสตาร์ตอัพ AI ของสหราชอาณาจักร พร้อมเรียกสตาร์ตอัพ UK แต่ละรายขึ้นเวที รวมทั้งหมด 8 ราย เพื่อ “แจกการลงทุน” เหมือนโชว์แจกของรางวัลสไตล์พิธีกร โอปราห์ วินฟรีย์ พร้อม “ประกาศสด” ว่า ผมจะลงทุนในบริษัทของคุณ

หลายคนในงาน โดยเฉพาะชาวอังกฤษ รู้สึกงงงวยกับการแสดงออกของหวงที่ดูเล่นใหญ่ ถึงขั้นมีผู้ร่วมงานบอกว่า “ทั้งงานดูบ้าคลั่งสิ้นดี” แต่ถึงอย่างนั้น การโชว์แมนของหวง ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยปูทางสู่ข้อตกลงความร่วมมือ AI ระหว่างสหรัฐกับอังกฤษ ซึ่งนายกฯเคียร์ สตาร์เมอร์แห่ง UK ยกให้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสหราชอาณาจักรให้เป็น “AI Superpower”

เจย์ พูรี รองประธานบริหารของ Nvidia และเป็นหนึ่งในวงในใกล้ชิดหวง บอกว่า รัฐบาลหลายประเทศติดต่อหา Nvidia เองโดยตรง และหลายรายได้คุยกับหวงตัวต่อตัวแล้ว ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่พิเศษมากสำหรับบริษัทเอกชน ที่จะกลายมาอยู่ในฐานะที่ “รัฐบาลทั่วโลกต้องเข้าหา”

อธิปไตย AI: การขยายตลาดสู่รัฐชาติ

กลยุทธ์ระดับโลกของ Nvidia ต่อจากนี้คือ การผลักดันแนวคิดที่หวงเรียกว่า “อธิปไตยปัญญาประดิษฐ์” (Sovereign AI) ซึ่งหมายถึงแต่ละประเทศ “ควรสร้างระบบ AI ของตัวเอง” ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานคอมพิวติ้งอย่างศูนย์ข้อมูล ชิป GPU ไปจนถึงกฎระเบียบข้อมูล

แต่ในความเป็นจริง อย่างกรณีของสหราชอาณาจักร ความพยายามที่จะสร้างขีดความสามารถด้าน AI ระดับชาติ กลับต้องพึ่งพา Nvidia ทั้งชิปและเงินทุน ทำให้แม้จะบอกว่าเป็น “AI ของตัวเอง” แต่ก็ยังอยู่บนฐานที่ Nvidia ควบคุม นี่หมายความว่า ประเทศเหล่านี้ยังต้องพึ่งพา Nvidia ทั้งด้านเทคโนโลยี และเงินทุน เพื่อทำให้เกิดขึ้น

กรณีของ Nscale บริษัทดาต้าเซนเตอร์ AI ในลอนดอน เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “สูตรสำเร็จ” ที่หวงใช้ Nvidia ลงทุนตรง 500 ล้านปอนด์ พร้อม “ขายชิปจำนวนมหาศาล” ให้กับสตาร์ตอัพหน้าใหม่ ทำให้บริษัทเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งปีเดียวมีมูลค่าพุ่งแตะ 3 พันล้านดอลลาร์ เพราะได้แรงหนุนจาก Nvidia โดยตรง

หวงนำโมเดลนี้ไปทำซ้ำในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น ไปจนถึงมาเลเซีย เพื่อสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับบริษัทท้องถิ่น ตอบโจทย์ “ความกระหาย AI” ของรัฐบาล ที่ไม่ต้องการตกขบวนรถนี้

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า หวงกำลังใช้ชื่อเสียงและบารมีใหม่ที่ได้จากกระแส AI เพื่อสร้างอิทธิพลทางการเมืองและธุรกิจ โดยเขาไม่เพียงทำหน้าที่ซีอีโอขายชิป แต่ยัง “ออกโรงเอง” ในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง Nvidia กับรัฐบาลและผู้นำประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

เป้าหมายของหวง คือ การขยายตลาดของ Nvidia ที่มีมูลค่ากว่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดิมที่พึ่งพาลูกค้าบิ๊กเทค (Google, Microsoft, Meta, OpenAI ฯลฯ) ไปสู่ลูกค้าใหม่ที่กระเป๋าหนักยิ่งกว่า นั่นคือ “ประเทศ” โดยตรง ผ่านแนวคิดอธิปไตย AI

ตะวันออกกลาง ฐานใหม่ของ ‘อธิปไตย AI’

หากจะมองหาพื้นที่ที่แนวคิด “อธิปไตย AI” ของหวงได้ผลชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้น “ตะวันออกกลาง” โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หวงเดินสายเยือนภูมิภาคนี้ร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีใหม่ของสหรัฐ ที่ไม่ได้กังวลเหมือนยุคไบเดนในการส่งออกเทคโนโลยี AI ขั้นสูงอีกต่อไป ตรงกันข้าม กลายเป็นการหนุนเสริมให้นำ “AI แบบอเมริกัน” ออกไปปักธงทั่วโลก

ในตอนนี้ ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอย่าง UAE และซาอุดีอาระเบีย กำลังพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นศูนย์กลาง AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขนาดใหญ่

ตัวอย่างชัดคือ Stargate AI Data Centre Campus ของ UAE ที่จะใช้ไฟฟ้าสูงถึง 5 กิกะวัตต์ (GW) หรือเทียบเท่ากับ “การใช้ไฟทั้งเมืองนิวยอร์ก” โครงการลักษณะนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ไม่ได้สร้างงานจำนวนมาก ทำให้ประเทศที่มีประชากรหนาแน่นไม่ค่อยอยากลงทุนเอง เพราะ “ไม่คุ้มทางการเมือง” 

ต่างจากรัฐอ่าวน้ำมันที่มี “เงินล้นมือ” ทะเยอทะยานด้าน AI และต้องการหาทางออกจากการพึ่งพารายได้น้ำมัน

จุดได้เปรียบเชิงโครงสร้างของภูมิภาคน้ำมันนี้ ได้แก่

1. ที่ดินกว้างใหญ่ และรกร้าง เหมาะกับการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดยักษ์

2. มีแหล่งพลังงานมากเหลือเฟือ ทั้งจากน้ำมันและพลังงานหมุนเวียน

3. แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งน้ำมันเพียงอย่างเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น ภูมิภาคนี้ยังมีประชากรวัยหนุ่มสาวที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี และสนใจใน AI แต่สิ่งที่ขาดคือ การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ ทำให้ต้องพึ่งใบอนุญาตส่งออกจากสหรัฐ เพื่อซื้อตัวชิป Nvidia เพื่อให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ 

ยังคงผูกติดระบบนิเวศ Nvidia?

แม้เจนเซน หวงจะพูดอยู่เสมอถึงความสำคัญของ “ความมีเอกราชทาง AI” (Sovereign AI) แต่ในความเป็นจริง ยังไม่มีภูมิภาคไหนเลย (ยกเว้นจีน) ที่สามารถสร้างระบบนิเวศของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ AI ได้อย่างสมบูรณ์ จน “ตัดขาด” จากเทคโนโลยีอเมริกันได้จริง

นักวิจัยบางคน เช่น เลนนาร์ท ไฮม์ จาก RAND ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยอุตสาหกรรมมองว่า คำว่า “Sovereign AI” แท้จริงแล้วเป็นเพียง “คำทางการตลาด” มากกว่านโยบายที่จับต้องได้ และชี้ว่าปัญหาที่รัฐบาลต่าง ๆ ควรถามตัวเองคือ “การทุ่มเงินมหาศาลนี้ พวกเขาต้องการให้ได้ผลลัพธ์อะไร?” ซึ่งจนถึงตอนนี้ หลายประเทศยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำไปเพื่ออะไร 

ขณะเดียวกัน มาร์ติน ชอร์เซ็มพาจากสถาบัน Peterson Institute ชี้ว่า กลยุทธ์ของ Nvidia คล้ายกับที่ยักษ์เทคสหรัฐรายอื่นที่ใช้ “ฐานผู้ใช้งานระดับโลก” และ “พลังเครือข่าย” มัดผู้ใช้ให้อยู่ในระบบนิเวศของตนเอง การผลักดัน Sovereign AI จึงเป็นการขยายโมเดลเดิมไปในระดับ “ประเทศ” นั่นเอง

นักลงทุนชาวอังกฤษรายหนึ่งมองว่า “ความเป็นอธิปไตยจริง ๆ” ต้องทำ “แบบที่จีนทำ” คือสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ใหม่ทั้งระบบแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ Huawei (ระบบสื่อสาร, โครงสร้าง AI), Cambricon Technologies (ชิป AI) และ SMIC (การผลิตเซมิคอนดักเตอร์)

สิ่งเหล่านี้ต้องการความกล้าหาญ ความทุ่มเท เงินก้อนมหาศาล และความอดทนระยะยาว ซึ่งนักการเมืองจำนวนมากในสหราชอาณาจักรและยุโรปดูเหมือนจะขาดสิ่งเหล่านี้

นี่ก่อให้เกิดคำถามใหญ่ว่า อธิปไตย AI ที่แต่ละประเทศทุ่มสร้างนั้น เป็นเอกราชจริง ๆ หรือเป็นการตกอยู่ใต้เงาของ Nvidia อีกที?

อ้างอิง: nvidiacnbcreutersftกรุงเทพธุรกิจ