วิกฤตงบประมาณสหรัฐ 'เดโมแครต' เตรียมใช้ 'ไพ่ใบสุดท้าย'

วิกฤตงบประมาณสหรัฐ 'เดโมแครต' เตรียมใช้ 'ไพ่ใบสุดท้าย'

สหรัฐกำลังเผชิญวิกฤตงบประมาณที่อาจนำไปสู่ภาวะรัฐบาลชัตดาวน์เนื่องจากงบประมาณจะหมดอายุในวันที่ 30 ก.ย.

KEY

POINTS

  • สหรัฐกำลังเผชิญวิกฤตงบประมาณที่อาจนำไปสู่ภาวะรัฐบาลชัตดาวน์เนื่องจากงบประมาณจะหมดอายุในวันที่ 30 ก.ย.
  • "ไพ่ใบสุดท้าย" ของเดโมแครตคือการใช้ประเด็น "สุขภาพ" เป็นเงื่อนไขหลักในการเจรจา โดยขู่ว่าจะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายที่ตัดลดงบประมาณด้านสุขภาพของประชาชน
  • ผู้นำเดโมแครตขู่ว่าจะยอมให้เกิดการชัตดาวน์ หากพรรครีพับลิกันไม่ยอมประนีประนอมเรื่องงบประมาณสุขภาพ ซึ่งเป็นนโยบายที่ทรัมป์ผลักดันให้ตัดลด

สหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาตึงเครียดอีกครั้ง เมื่องบประมาณรัฐบาลกลางจะหมดอายุในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ตามหลักการแล้ว กระบวนการควรเริ่มจากประธานาธิบดีเสนอร่างงบประมาณ แล้วให้รัฐสภาเจรจากัน และออกกฎหมายใช้ทันวันที่ 1 ต.ค.

แต่นี่คือ "สหรัฐอเมริกา" ที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เมื่อเหลือเวลาเพียง 3 สัปดาห์ในการหาทางออก ตลาดการเงินเริ่มเดิมพันว่ามีโอกาส 50% ที่รัฐบาลจะต้องปิดตัวชั่วคราว

อำนาจต่อรองที่บางเฉียบ

แม้พรรครีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภา แต่ก็ยังต้องการคะแนนโหวตจากเดโมแครตอย่างน้อย 7 เสียงในสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อผ่านร่างกฎหมายงบประมาณ แม้จะเป็นเพียงการขยายเวลาชั่วคราวก็ตาม

ปัญหาคือ อำนาจต่อรองของเดโมแครตมีจำกัด ในขณะที่ความคาดหวังจากฐานผู้สนับสนุนสูงลิ่ว หลายคนไม่อยากประนีประนอมกับรัฐบาลทรัมป์ที่เดินหน้ารื้อถอนหน่วยงานรัฐและระงับงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์

บาดแผลจากการต่อสู้ครั้งก่อนยังแสนสาหัส เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเดโมแครตในวุฒิสภา และเพื่อนร่วมพรรคอีก 9 คน หันไปสนับสนุนร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ก่อให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคอย่างรุนแรง จนมีเสียงเรียกร้องให้ชูเมอร์ลาออก

"เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นหายนะ เราไม่อยากเผชิญสถานการณ์แบบนี้อีกเด็ดขาด" เจ้าหน้าที่อาวุโสของเดโมแครตระบุ

ขณะนี้ชูเมอร์ต้องเผชิญความท้าทาย 3 ประการ คือ

หนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเดโมแครตยังมีไฟในการต่อสู้
สอง ตั้งข้อเรียกร้องที่ชัดเจนสำหรับการเจรจา
สาม เตรียมข้อความสื่อสารว่าทำไมต้อง "ชัตดาวน์" รัฐบาล หากเจรจาล้มเหลว

ก่อนหน้านี้ ชูเมอร์กังวลว่าการชัตดาวน์บาลจะเปิดโอกาสให้อีลอน มัสก์ สร้างความเสียหายต่อระบบราชการมากขึ้น แต่เมื่อความนิยมของทรัมป์ลดลงและมัสก์ออกไปในเดือนพ.ค. ชูเมอร์จึงเริ่มแข็งกร้าวกว่าเดิม

เขาเตือนรีพับลิกันว่า "อย่าคาดหวังให้เดโมแครตทำตัวเป็นปกติ" พร้อมร่วมมือกับฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ขู่ว่าจะชัตดาวน์รัฐบาล หากรีพับลิกันดันทุรังร่างงบประมาณชั่วคราวโดยไม่ยอมประนีประนอม

แต่แม้จะมีคำพูดที่แข็งกร้าว บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า เดโมแครตก็ยังดูไม่พร้อมจริงสำหรับสงครามครั้งใหม่

สุขภาพเป็น 'ไพ่ใบสุดท้าย'

ข้อเรียกร้องทางการเมืองของเดโมแครตค่อนข้างซับซ้อน บางคนยืนกรานให้มีการรับรองว่าทรัมป์ไม่สามารถยกเลิกงบประมาณที่รัฐสภาอนุมัติแล้ว หลังจากเขาตัดเงินช่วยเหลือต่างประเทศ 5 พันล้านดอลลาร์ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้สมาชิกรัฐสภาทั้งสองพรรคไม่พอใจอย่างมาก

แต่แม้จะมีรีพับลิกันหนุนหลัง ก็ไม่มีหลักประกันว่าทรัมป์จะทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว

เดโมแครตจึงหันมารวมตัวใช้ประเด็น "สุขภาพ" แทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนเชื่อถือพวกเขามากกว่ารีพับลิกัน กฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ของทรัมป์ได้ลดงบสุขภาพอย่างรุนแรง คาดว่าจะทำให้คนอเมริกัน 10.9 ล้านคนสูญเสียประกันสุขภาพ ตามการประเมินของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา

เจฟฟรีส์ประกาศชัดว่าจะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายที่ "ลิดรอนสิทธิสุขภาพ" ของประชาชน ส่วนวุฒิสมาชิกอย่างเอลิซาเบธ วอร์เรน วางแผนใช้กำหนดเวลางบประมาณที่กระชั้นกดดันให้ยกเลิกการลดงบประมาณดังกล่าว

อธิบายง่าย ๆ คือ พวกเขาต้องการให้รีพับลิกัน "ทำลายผลงาน" ของประธานาธิบดีตัวเอง ซึ่งเป็นไปได้ยาก

ทางออกสุดท้าย

ผู้นำรีพับลิกันในรัฐสภาเปิดช่องประนีประนอมเล็ก ๆ โดยยินดีขยายเงินอุดหนุนบางส่วนของ Affordable Care Act ที่จะหมดอายุปลายปีนี้ไปจนถึงหลังเลือกตั้งกลางเทอม 2026 ซึ่งอาจพอทำให้เดโมแครตบางส่วนพอใจ

การเดิมพันกับการประนีประนอมมักไม่ค่อยคุ้มค่า ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดจึงคือการขยายระยะเวลาจัดหาเงินทุนแบบชั่วคราว โดยรักษาระดับงบประมาณเดิมไว้ ให้เวลารัฐสภาเจรจางบประมาณฉบับเต็มปี

บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า วิธีนี้เป็นประโยชน์ต่อรีพับลิกันมากกว่า เพราะการไม่เพิ่มงบประมาณท่ามกลางเงินเฟ้อ เท่ากับเป็นการลดงบในทางปฏิบัติ

เกมเดิมพันครั้งสุดท้าย

คำถามที่หลายคนสนใจต่อมาคือ หากทุกอย่างล้มเหลว ชูเมอร์จะกล้าชัตดาวน์รัฐบาลจริง ๆ หรือไม่?

ความปรารถนาที่จะต่อสู้กับทรัมป์อาจกลายเป็นกับดักที่ทำให้รีพับลิกันพร้อมจะโทษเดโมแครตว่า "ทิ้งประชาชนไปรับใช้ฐานสนับสนุนชนชั้นสูงของตัวเอง"