ตัวเต็งปธ.เฟดแฮสเซ็ตต์ ‘ชูธงปฏิรูปเฟด’ เพิ่มเกณฑ์ 'พำนักในพื้นที่ 3 ปี'

ตัวเต็งปธ.เฟดแฮสเซ็ตต์ ‘ชูธงปฏิรูปเฟด’ เพิ่มเกณฑ์ 'พำนักในพื้นที่ 3 ปี'

‘เควิน แฮสเซ็ตต์’ ตัวเต็งผู้ว่าการเฟดคนต่อไป ชูแนวคิดปฏิรูปโครงสร้างเฟด เรียกร้องให้ประธานเฟดระดับภูมิภาคต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างน้อย 3 ปี พร้อมส่งสัญญาณเฟดอาจลดดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ และประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐปี 2026 อาจกลายเป็น ‘ปีทอง’

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “เควิน แฮสเซ็ตต์” ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ และยังเป็นผู้ที่ปธน.ทรัมป์เลือกให้เป็นประธานธนาคารกลาง (เฟด) ระดับประเทศคนต่อไป ได้ออกโรงสนับสนุนข้อเสนอของ “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่ต้องการเพิ่มเงื่อนไขการพำนักอาศัย ในการแต่งตั้งประธานธนาคารกลางระดับภูมิภาคของสหรัฐ 

แฮสเซ็ตต์ กล่าวในรายการ Fox Business เมื่อวันศุกร์ว่า “เหตุผลที่เรามีธนาคารกลางระดับภูมิภาคหลายแห่ง ก็เพราะเราต้องการระบบแบบสหพันธรัฐ ที่ให้แต่ละภูมิภาคของประเทศ ซึ่งมีความกังวลหรือความต้องการแตกต่างกัน มีเสียงในการตัดสินใจ”

ด้านเบสเซนต์กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาจะผลักดันให้มีการออกกฎใหม่ กำหนดให้ผู้สมัครตำแหน่งประธานเฟดสาขาระดับภูมิภาค ต้องอาศัยอยู่ในเขตนั้น “อย่างน้อย 3 ปี” 

นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในความพยายามครั้งใหญ่เพื่อ “ปรับโครงสร้างเฟดใหม่” หลังรัฐบาลทรัมป์กล่าวหาว่า ธนาคารกลางเริ่มมีการขยายบทบาทเกินขอบเขต จากภารกิจด้านนโยบายการเงินเดิมของตน

ทั้งนี้ ประธานเฟดระดับสาขา มีวาระการดำรงตำแหน่งซึ่งต้องได้รับการต่ออายุใหม่ทุก ๆ ห้าปีโดยคณะผู้ว่าการเฟดในกรุงวอชิงตัน ซึ่งวาระปัจจุบันจะสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ และเมื่อถูกถามว่าหากมีการตั้ง “เกณฑ์การพำนักอาศัย” จะทำให้การอนุมัติในรอบเดือนกุมภาพันธ์สะดุดหรือไม่ แฮสเซ็ตต์ตอบว่า “ผมยังไม่ได้หารือเรื่องนี้กับทุกฝ่าย”

ภายใต้โครงสร้างปัจจุบัน ยังไม่มีบทบาทโดยตรงทางกฎหมายสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะคณะกรรมการเฟดระดับภูมิภาค (ยกเว้นบุคคลที่ทำงานในสถาบันการเงิน) จะเป็นผู้เสนอชื่อหัวหน้าสาขาในเขตของตน และคณะผู้ว่าการเฟดจะลงมติให้ความเห็นชอบ ต่างจากตำแหน่งผู้ว่าการเฟดระดับประเทศ ที่ต้องผ่านการรับรองจากวุฒิสภา

แฮสเซ็ตต์กล่าวว่า “จุดอ่อนของระบบเฟดในตอนนี้คือ คนที่มีสิทธิลงคะแนนตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย มีเพียงคนที่อยู่ในวอชิงตันและนิวยอร์กเท่านั้น” เขากล่าวว่าเขาและเบสเซนต์ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขประเด็นนี้ พร้อมระบุว่า “ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะทำให้ต้องไปปลดใครที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในตอนนี้”

แฮสเซ็ตต์ย้ำความคาดหวังว่า ผู้กำหนดนโยบายของเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยกล่าวว่า

“นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเฟด ที่จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างระมัดระวังอีกครั้ง”

เขายังคาดว่า จะเกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดในช่วงต้นปี 2026 หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวจากผลกระทบของการชัตดาวน์รัฐบาลกลางเมื่อเร็ว ๆ นี้ และเริ่มเห็นผลจากโรงงานใหม่ที่ทยอยเปิดดำเนินงาน อีกทั้งคาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพ ซึ่งหนุนโดยการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์

แฮสเซ็ตต์เผยว่า “เรามีโอกาสเห็นผลิตภาพเพิ่มขึ้นถึง 4% ในปีหน้า เมื่อมองจากอัตราเร่งของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน”

เขาระบุว่า การนำ AI มาใช้ในเศรษฐกิจโดยรวม กำลังเคลื่อนตัวเร็วกว่าช่วงการเติบโตของอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ในยุคทศวรรษ 1990 อย่างชัดเจน โดยการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพ จะช่วยผลักดันค่าจ้างให้สูงขึ้นตามไปด้วย

แฮสเซ็ตต์กล่าวต่อว่า หากไม่มีเหตุการณ์ “หงส์ดำ” (วิกฤติเศรษฐกิจ) ที่มาคาดไม่ถึง “เราอาจกำลังเข้าใกล้หนึ่งในปีทองทางเศรษฐกิจในประวัติศาสตร์” สำหรับปี 2026

อ้างอิง: bloomberg