ถอดรหัส 'ภาษีทรัมป์ผิดกฎหมาย' โลกยังต้องจ่ายภาษีไหม จากนี้ไปยังไงต่อ

ถอดรหัส 'ภาษีทรัมป์ผิดกฎหมาย' โลกยังต้องจ่ายภาษีไหม จากนี้ไปยังไงต่อ

นับเป็นความพ่ายแพ้ในชั้นศาล "ครั้งที่สอง" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อศาลอุทธรณ์สหรัฐตัดสินว่า ภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ "ส่วนใหญ่" ของปธน.ทรัมป์ที่กำหนดใช้กับหลายประเทศทั่วโลกนั้น "ผิดกฎหมาย"

นับเป็นความพ่ายแพ้ในชั้นศาล "ครั้งที่สอง" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อศาลอุทธรณ์สหรัฐตัดสินว่า ภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ "ส่วนใหญ่" ของปธน.ทรัมป์ที่กำหนดใช้กับหลายประเทศทั่วโลกนั้น "ผิดกฎหมาย" เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยการบังคับใช้กฎหมายฉุกเฉิน ซึ่งเป็นแนวทางคำตัดสินที่คล้ายกับศาลชั้นต้นเมื่อปลายเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา และทำให้ทั่วโลกที่ถูกรีดภาษี "มีความหวัง" ขึ้นมาอีกครั้งหากคดีนี้ยังจบลงแบบเดิมในชั้นฎีกา

"กรุงเทพธุรกิจ" พาไปทำความเข้าใจกับปัญหาทางกฎหมายของภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของทรัมป์ ที่แพ้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พร้อมมองไปข้างหน้าถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมา

ทรัมป์เคย 'แพ้' ในศาลชั้นต้นอย่างไร

เมื่อเดือนพ.ค. ศาลการค้าระหว่างประเทศในแมนฮัตตัน สหรัฐ มีคำพิพากษาให้ "ยกเลิกภาษีศุลกากรตอบโต้" ที่ปธน.ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย รวมถึงภาษีกับแคนาดา-เม็กซิโก-จีน ก่อนหน้านี้ในเดือนก.พ. เพราะภาษีเหล่านี้ถูกผู้นำสหรัฐประกาศใช้ภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA ซึ่งศาลระบุว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตของประธานาธิบดี  

IEEPA เป็นกฎหมายในปี 1977 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐสามารถใช้อำนาจควบคุมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ "ในภาวะฉุกเฉิน" โดยสามารถดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจ หรือการคว่ำบาตรต่อประเทศต่างๆ ได้ในสถานการณ์ที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ 

อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราภาษีศุลกากรและการค้าระหว่างประเทศนั้น เป็นอำนาจของ "สภาคองเกรส" (รัฐสภา) ไม่ใช่อำนาจของประธานาธิบดี ที่จะลักไก่ข้ามขั้นตอนการโหวตของสภาคองเกรสโดยใช้กฎหมาย IEEPA โดยอ้างว่าเป็นภัยฉุกเฉินต่อความมั่นคง 

ถอดรหัส 'ภาษีทรัมป์ผิดกฎหมาย' โลกยังต้องจ่ายภาษีไหม จากนี้ไปยังไงต่อ

ทว่าแม้ทรัมป์จะแพ้ในศาลชั้นต้น แต่ก็ยื่นอุทธรณ์ต่อทันทีและศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางผ่อนผันให้ภาษีศุลกากรของทรัมป์ ยังมีผลอยู่ชั่วคราว 

ล่าสุด 'ศาลอุทธรณ์' ตัดสินอย่างไร 

ศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐ (Federal Circuit) มีคำพิพากษา 7 ต่อ 4 เสียง ยืนตามคำตัดสินก่อนหน้านี้ของศาลการค้าระหว่างประเทศโดยระบุว่า "กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจอย่างมากแก่ประธานาธิบดีในการดำเนินการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติตามที่ประกาศไว้ แต่การกระทำเหล่านี้ไม่ได้ระบุถึงอำนาจในการกำหนดอัตราภาษีศุลกากร อากร หรืออำนาจในการเก็บภาษีอย่างชัดเจน"

ทิม ไบรท์บิลล์ ทนายความด้านการค้าจากบริษัทกฎหมาย Wiley Rein ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้กล่าวว่า ศาลอุทธรณ์ได้สรุปว่าแม้กฎหมาย IEEPA จะอนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถใช้อำนาจทางภาษีศุลกากรได้ แต่ "รัฐบาลได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตด้วยการออกมาตรการภาษีในวงกว้างและครอบคลุมทั่วโลกเช่นนี้"

คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ยังระบุด้วยว่า ศาลชั้นต้นควรทบทวนคำตัดสินอีกครั้งโดยห้ามการจัดเก็บภาษีกับทุกฝ่ายทั้งหมด แทนที่จะจำกัดเพียงคู่ความที่ยื่นฟ้องในคดีนี้เท่านั้น

สำหรับภาษีทรัมป์ส่วนใหญ่ที่ศาลชั้นต้นและศาลฏีกาเห็นว่าผิดกฎหมายนั้น คือส่วนของภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) และภาษีที่เรียกเก็บกับแคนาดา เม็กซิโก และจีน เมื่อเดือนก.พ. แต่ไม่รวมภาษีรายเซ็กเตอร์ภายใต้มาตรา 232  

ภาษียังคงมีผลบังคับใช้จนกว่าจะจบฎีกา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทรัมป์จะแพ้ในศาลอุทธรณ์ แต่ศาลก็ยังคงอนุญาตให้ภาษีศุลกากรยังคงมีผลบังคับใช้ต่อชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2568 เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์มีโอกาสยื่นสู้คดีต่อในศาลฎีกาสหรัฐ

ถอดรหัส 'ภาษีทรัมป์ผิดกฎหมาย' โลกยังต้องจ่ายภาษีไหม จากนี้ไปยังไงต่อ

ทรัมป์และพวก มองอย่างไร

"ภาษีศุลกากรทั้งหมดยังคงมีผลบังคับใช้!" ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ไม่นานหลังจากมีคำตัดสินออกมา

"วันนี้ศาลอุทธรณ์ฝ่ายค้านได้ตัดสินอย่างไม่ถูกต้องว่าควรยกเลิกภาษีศุลกากรของเรา แต่พวกเขารู้ดีว่าสุดท้ายแล้วสหรัฐอเมริกาจะเป็นฝ่ายชนะ" ปธน.ทรัมป์ระบุ "หากภาษีศุลกากรเหล่านี้ถูกยกเลิกไปจริงๆ มันจะเป็นหายนะอย่างสิ้นเชิงต่อประเทศ"

ก่อนการตัดสิน ทีมกฎหมายของรัฐบาลทรัมป์ได้ส่งหนังสือถึงศาลอุทธรณ์เตือนว่า คำตัดสินที่ต่อต้านประธานาธิบดีจะนำไปสู่ ​​"ผลกระทบร้ายแรง" โดยชี้ให้เห็นถึงข้อตกลงที่บรรลุไปแล้วกับสหภาพยุโรป อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น แม้ว่าศาลจะตัดสินให้ภาษีศุลกากรเป็นโมฆะ แต่ผลของการตัดสินดังกล่าวก็ควรถูกระงับไว้ก่อน 

"ประเทศของเราจะไม่สามารถจ่ายเงินคืนหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ประเทศอื่นๆ ได้ตกลงไว้ ซึ่งอาจนำไปสู่หายนะทางการเงินตามมา" ทีมกฎหมายของรัฐบาลทรัมป์ระบุ "ท่านประธานาธิบดีเชื่อว่าการบังคับให้ยกเลิกข้อตกลงอาจนำไปสู่ผลลัพธ์แบบเดียวกับในปี 1929” โดยคาดว่าข้อความนี้อาจหมายถึงเหตุการณ์วิกฤติวอลสตรีทก่อนนำไปสู่วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ The Great Depression ตามมา

ทั้งนี้ รายได้จากภาษีศุลกากรของสหรัฐเฉพาะในเดือนก.ค. อยู่ที่ 1.42 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 4.5 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่าสองเท่าจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 

ภาษีทรัมป์จะจบลงอย่างไร

เป็นที่คาดว่าคดีนี้อาจจะต้องจบลงที่ "ศาลฎีกา" ซึ่งมีองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้พิพากษาที่มาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีพรรครีพับลิกัน 6 คน ซึ่งรวมถึงจอห์น โรเบิร์ตส์ ประธานศาลฎีกา ส่วนอีก 3 คนมาจากการแต่งตั้งยุครัฐบาลเดโมแครต

ที่ผ่านมาศาลฎีกามีคำตัดสินหลายครั้งที่สนับสนุนวาระนโยบายสมัยที่สองของปธน.ทรัมป์ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศาลก็ได้แสดงท่าทีคัดค้านการตีความกฎหมายเก่าๆ ในเชิงขยายความที่จะสร้างอำนาจใหม่ให้กับประธานาธิบดีเช่นกัน

หากทรัมป์ต้องพ่ายแพ้อีกครั้งในศาลฎีกา สหรัฐอาจหันไปพึ่งมาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ซึ่งให้อำนาจเก็บภาษีศุลกากรได้สูงสุด 15% เป็นเวลา 150 วัน สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลสูง หรืออาจใช้มาตรา 301 ของกฎหมายเดียวกัน ซึ่งให้อำนาจเก็บภาษีเพื่อตอบโต้ต่อการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยทรัมป์เคยใช้อำนาจตามมาตรา 301 ในการทำสงครามการค้ากับจีนในวาระแรกมาแล้ว

การค้าระหว่างประเทศมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์กำลังพัวพันกับพิพาททางกฎหมาย หากมีคำตัดสินสุดท้ายให้ยกเลิกมาตรการภาษีของทรัมป์ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อข้อตกลงทางการค้าที่ทรัมป์เคยประกาศอ้างอย่างครึกโครม อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายบริหารอาจต้องเผชิญกับการฟ้องขอคืนเงินภาษีศุลกากรที่หลายประเทศได้มีการจ่ายไปแล้ว

ที่มา: Bloomberg, WSJ, Newsweekกรุงเทพธุรกิจ