'สรุป' ศาลสั่งยกเลิกภาษีทรัมป์ ภาษีตัวไหนบ้างที่ถูกยกเลิก

'สรุป' ศาลสั่งยกเลิกภาษีทรัมป์ ภาษีตัวไหนบ้างที่ถูกยกเลิก

ชัยชนะ (เบื้องต้น) ของทั่วโลก หลังศาลการค้าระหว่างประเทศ สั่งยกเลิกภาษี 'Reciprocal Tariffs' ของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 มีภาษีตัวไหนบ้างที่ถูกยกเลิก และภาษีรายการใดที่ยังได้ไปต่อ

เมื่อวันพุธที่ 28 พ.ค.68 ศาลการค้าระหว่างประเทศในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก สหรัฐ มีคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ ให้ "ยกเลิกภาษีศุลกากรตอบโต้" (reciprocal tariffs) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 รวมถึงภาษีกับแคนาดา-เม็กซิโก-จีน ก่อนหน้านี้ในเดือนก.พ. เพราะภาษีเหล่านี้ถูกผู้นำสหรัฐประกาศใช้ภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA ซึ่งศาลระบุว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตของประธานาธิบดี  

ภาษีทรัมป์ผิดตรงไหน?

ภาษีเมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ภาษีพื้นฐานทั่วโลก (Worldwide Tariffs) 10% ที่สหรัฐเรียกเก็บกับทุกประเทศ และภาษีตอบโต้ส่วนที่สูงขึ้น (Retaliatory Tariff) ซึ่งเรียกเก็บกับ 57 ประเทศ/ดินแดนทั่วโลกในอัตราที่แตกต่างกันไป เช่น ไทย 36% และเวียดนาม 46% ภาษีพื้นฐานนั้นมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ส่วนภาษีที่สูงขึ้นถูกทรัมป์ผ่อนผันให้ 90 วัน ไปจนถึงต้นเดือนก.ค. 

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ในการประกาศใช้ภาษีตอบโต้นั้น ทรัมป์ใช้อำนาจภายใต้กฎหมายที่ชื่อว่า  "IEEPA" หรือ International Emergency Economic Powers Act ซึ่งเป็นกฎหมายในปี 1977 ที่ให้ประธานาธิบดีสหรัฐสามารถใช้อำนาจควบคุมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ "ในภาวะฉุกเฉิน" โดยสามารถดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจ หรือการคว่ำบาตรต่อประเทศต่างๆ ได้ในสถานการณ์ที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ 

อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราภาษีศุลกากร และการค้าระหว่างประเทศนั้น เป็นอำนาจของ "สภาคองเกรส" (รัฐสภา) ไม่ใช่อำนาจของประธานาธิบดี ที่จะลักไก่ข้ามขั้นตอนการโหวตของสภาคองเกรสโดยใช้กฎหมาย IEEPA โดยอ้างว่าเป็นภัยฉุกเฉินต่อความมั่นคง 

ศาลตัดสินอย่างไร

ศาลการค้าระหว่างประเทศ (The US Court of International Trade: CIT) มีคำพิพากษา ไม่ให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีศุลกากรดังกล่าว โดยระบุว่ากฎหมาย IEEPA ที่ทรัมป์ใช้อ้างอิงในการประกาศภาษีนั้น "ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ" 

คณะผู้พิพากษา 3 คน ยืนยันอีกครั้งว่า "รัฐสภา" เท่านั้นที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการกำกับดูแลการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งซีเอ็นบีซี ระบุว่า นับเป็นการวิจารณ์อย่างรุนแรงต่อคำกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่า การขาดดุลการค้าเป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติ

ศาลไม่เพียงแต่มีคำพิพากษาให้ "ยกเลิก" คำสั่งทางภาษีทั้งหมดของทรัมป์ภายใต้กฎหมาย IEEPA "อย่างถาวร" เท่านั้น แต่ยังห้ามรัฐบาลใช้คำสั่งนี้เก็บภาษีต่อไปในอนาคตด้วย โดยรัฐบาลมีเวลา 10 ในการปฏิบัติตามคำสั่งศาล ส่วนผู้นำเข้าที่เสียภาษีไปแล้ว หากยังไม่ได้คืนอัตโนมัติ สามารถยื่นขอคืนเป็นกรณีๆ ได้

คำพิพากษาในครั้งนี้เป็นผลจากการยื่นฟ้องโดย 13 รัฐที่นำโดยรัฐโอเรกอน และจากธุรกิจขนาดเล็กอีก 5 แห่ง โดยศาลชี้ว่า ไม่มีฐานทางกฎหมาย (legal basis) สำหรับคำสั่งภาษีทั่วโลก และภาษีตอบโต้ของทรัมป์ โดยโจทก์ที่ยื่นฟ้องในครั้งนี้ยังรวมถึงผู้นำเข้าไวน์จากนิวยอร์ก และผู้ผลิตชุดการศึกษาจากเวอร์จิเนีย ซึ่งระบุว่า ภาษีดังกล่าวคุกคามความอยู่รอดทางธุรกิจพวกเขา

ทั้งนี้ ผู้พิพากษา 3 ราย เป็นผู้พิพากษาที่มาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี 3 คน คือ บารัก โอบามา ปธน.จากพรรคเดโมแครต และทรัมป์กับโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน โดยผู้พิพากษาทั้งหมดมีคำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์

ภาษีตัวไหนที่ถูกยกเลิก

ภาษีทรัมป์ที่ถูกยกเลิก คือ ภาษีศุลกากรที่ถูกประกาศภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA ซึ่งสามารถแบ่งได้หลักๆ 2 ก้อนใหญ่ๆ คือ 1. ภาษีแคนาดา-เม็กซิโก-จีน วันที่ 1 ก.พ.68 ที่ตอบโต้การลักลอบเข้าเมืองและยาเสพติด และ 2. ภาษีศุลกากรตอบโต้วันที่ 2 เม.ย.68 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

  • ภาษีแคนาดา-เม็กซิโก-จีน

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.68 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับ 3 ประเทศคือ แคนาดา และเม็กซิโก 25% และจีน 10% (เพิ่มในภายหลังอีกรวมเป็น 20%) โดยอ้างว่าสามประเทศดังกล่าวปล่อยให้มีการลักลอบเข้าเมือง และทำให้มียาเฟนทานีลที่เป็นสารเสพติดเข้าประเทศ จึงประกาศลงโทษเก็บภาษีศุลกากร ภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA

  • ภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) 

เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศวันปลดแอกโดยใช้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ IEEPA ประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับทั่วโลก (reciprocal tariffs) โดยแบ่งเป็นภาษีพื้นฐาน 10% ที่บังคับใช้ทั่วโลก (Worldwide Tariffs) และภาษีศุลกากรตอบโต้ส่วนที่สูงขึ้นเป็นรายประเทศ (Retaliatory Tariffs) เช่น ประเทศไทย 36% และเวียดนาม 46%

ภาษีรายเซกเตอร์ 'ไม่ถูกยกเลิก'

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ภาษีทุกรายการของทรัมป์ที่ถูกยกเลิกภายใต้คำสั่งศาลล่าสุด เพราะภาษีรายเซกเตอร์ เช่น ภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียมอัตรา 25% ที่ประกาศเมื่อวันที่ 11 ก.พ.68 และภาษีรถยนต์ และชิ้นส่วนอัตรา 25% ที่ประกาศเมื่อวันที่ 26 มี.ค.68 นั้น เป็นภาษีที่ใช้อำนาจภายใต้มาตรา 232 ของรัฐบัญญัติการขยายการค้าปี 1962 (Trade Expansion Act 1962) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดี และการตัดสินของศาลในครั้งนี้ 

ทั้งนี้ มาตรา 232 เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบัญญัติการขยายการค้าปี 1962 ที่ให้อำนาจแก่กระทรวง หัวหน้าหน่วยงาน และ ผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องใดๆ ในการร้องขอให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐทำการสอบสวน เพื่อให้มีความมั่นใจในผลกระทบของการนำเข้าสินค้า เฉพาะอย่างที่จะมีต่อความมั่นคงแห่งชาติ โดยทำการปรึกษากับกระทรวงกลาโหมให้เสร็จสิ้นภายใน 270 วัน เพื่อนำเสนอต่อประธานาธิบดี 

ปัจจุบัน สหรัฐมีการ "บังคับใช้" กฎหมายส่วนนี้ไปแล้ว 2 รายการ คือ เหล็ก และอะลูมิเนียม และรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ แต่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์ เช่น ทองแดง ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และยา เป็นต้น  

จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เพียงไม่กี่นาทีหลังจากมีคำพิพากษาออกมา รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป และยังตั้งคำถามถึงการตัดสินของศาลในครั้งนี้

"ไม่ใช่เรื่องของผู้พิพากษาที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ที่จะตัดสินใจว่าควรจะแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติอย่างไร" คุช ดีเซย์ โฆษกทำเนียบขาวระบุ

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า คำตัดสินครั้งนี้เป็นเพียงชัยชนะเบื้องต้น และคาดว่าจะมีการต่อสู้กันจนถึงชั้นฎีกา  


นักวิเคราะห์เย้ย 'Taco Trade'

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวของ CNBC ได้ขอให้ประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความเห็นต่อข้อเท็จจริงกรณีที่นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทเริ่มเรียกการซื้อขายบางรายการว่าเป็น Taco Trade ซึ่ง Taco เป็นคำย่อของ "Trump Always Chickens Out" (ทรัมป์มักจะถอนตัวเสมอ) หรือหมายถึงทรัมป์มักจะกำหนดภาษีศุลกากรก่อน และยอมถอนในภายหลัง ซึ่งทำให้ทรัมป์ไม่พอใจเมื่อได้ยินคำนี้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์