โลกเข้าสู่วงจร 'รัฐบาลครอบงำแบงก์ชาติ' หวังกดดอกเบี้ยลดหนี้

รัฐบาลเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกเริ่มกดดันธนาคารกลางเพราะต้องการลดภาระหนี้สินของประเทศ กูรูชี้สถานการณ์นี้กระทบความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
KEY
POINTS
- รัฐบาลเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกเร่ิมกดดันธนาคารกลาง
- รัฐบาลต้องการลดภาระหนี้สินของประเทศ
- สถานการณ์นี้กระทบความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส รายงานว่า นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนระดับโลกเริ่มออกมาเตือนว่าประเทศเศรษฐกิจใหญ่กำลังเข้าสู่ยุค "รัฐบาลครอบงำเศรษฐกิจและการเงิน" (fiscal dominance) ซึ่งธนาคารกลางต่างๆ ต้องเผชิญแรงกดดันให้ลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยรัฐบาลลดภาระจ่ายดอกเบี้ยหนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์นี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญจากการที่ธนาคารกลางควรมีอิสระในการกำหนดนโยบายการเงินตามสภาพเศรษฐกิจ
เคนเนธ โรกอฟฟ์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ยืนยันว่าโลกได้เข้าสู่ยุคนี้แล้ว เขาอธิบายว่าการที่รัฐบาลทั่วโลกมีหนี้สูงและต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นสร้างแรงจูงใจทางการเมืองอย่างมหาศาลให้รัฐบาลกดดันธนาคารกลางของตัวเองให้ลดอัตราดอกเบี้ย
สหรัฐตัวอย่างรัฐบาลกลางครอบงำแบงก์ชาติ
สหรัฐอเมริกาคือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปรากฏการณ์นี้ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเปิดเผยผ่านหน้าสื่อ ข้อมูลจากตลาดสะท้อนความกังวลนี้เมื่อช่องว่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีและ 30 ปีขยายห่างมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2022 เทรเวอร์ กรีธัม จาก Royal London Asset Management ชี้ว่าการแต่งตั้ง สตีเฟน มิแรน บุคคลใกล้ชิดทำเนียบขาวเข้าสู่คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าความเสี่ยงของการครอบงำทางการคลังกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ตลาดการเงินเริ่มสะท้อนความคาดหวังว่านโยบายการเงินจะผ่อนคลายมากกว่าที่ควรจะเป็น โดยเทียรี วิซแมน นักยุทธศาสตร์จาก Macquarie Group ชี้ให้เห็นสัญญาณของ "การซื้อขายที่เก็งว่าธนาคารกลางจะถูกรัฐบาลครอบงำ" หรือ fiscal capture trade เมื่อตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าคาดการณ์การลดดอกเบี้ย 5 ครั้งภายในปีหน้า แม้ว่าแบงก์ชาติของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จำนวนมากจะปรับประมาณการเศรษฐกิจในทิศทางดีขึ้น
"นี่เป็นเพราะตลาดคาดหวังประธานเฟดและคณะกรรมการฯ จะมีมุมมองแบบผ่อนคลายมากขึ้นจากการแทรงเเซงของรัฐบาล"
'สหราชอาณาจักร-ญี่ปุ่น' ก็เกิดการแทรงแซงเงียบๆ
นอกเหนือจากสหรัฐแล้ว ประเทศอื่นๆ ก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกันแต่ใช้วิธีการที่อ้อมๆ กว่า ยกตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีพุ่งสูงถึง 5.6% ใกล้ระดับสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี มาห์มูด ปราดาน จาก Amundi Asset Management อธิบายว่าธนาคารแห่งอังกฤษ (BOE) อยู่ในสถานะกลื่นไม่เข้าคายไม่ออก หากรัฐบาลใช้เงินเยอะจนเงินเฟ้อขึ้น ธนาคารต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่ถ้าทำอย่างนั้นจะดูเหมือนกำลังแกล้งรัฐบาล ถ้าไม่ทำก็จะดูเหมือนเข้าข้างรัฐบาล
แม้แต่เยอรมนีที่มีชื่อเสียงในเรื่องงบประมาณสมดุลก็เริ่มเผชิญแรงกดดัน เมื่อต้นทุนการกู้ยืม 30 ปีพุ่งสูงเกิน 3% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 เนื่องจากแผนของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเพิ่มการกู้ยืมเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มกระทรวงกลาโหม
จากเหตุการณ์ทั้งหมดองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดว่าการกู้ยืมของรัฐในกลุ่มประเทศรายได้สูงจะถึงระดับสูงสุดใหม่ที่ 17 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้
ความกังวลเรื่องความยั่งยืนทางการคลังเริ่มขยายวงกว้างขึ้น โดยเรย์ ดาลิโอ นักลงทุนผู้ก่อตั้งกองทุน Bridgewater Associates เตือนถึงสถานการณ์สุดขั้วนี้ว่าเป็น "วงจรมรณะของหนี้" ที่รัฐบาลอาจต้องกู้ยืมมากขึ้นเพื่อจ่ายดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น หากสถานการณ์เลวร้ายลง ธนาคารกลางอาจต้องเข้าแทรกแซงด้วยการพิมพ์เงินซื้อพันธบัตรเพื่อกดดอกเบี้ยให้ต่ำลง ซึ่งจะส่งผลให้เงินอ่อนค่าและสกุลเงินสำรองหลักเช่นดอลลาร์และยูโรสูญเสียความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับทองที่ปีนี้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่
แมทธิว มอร์แกน จาก Jupiter Asset Management เน้นย้ำข้อกังวลดังกล่าวว่า ความผันผวนของตลาดพันธบัตรระยะยาวอาจผลักดันให้รัฐบาลหันไปกู้ยืมระยะสั้นมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศต่างๆ เสี่ยงต่อความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและสร้างความไม่แน่นอนในระบบการเงินโลกในระยะยาว
อ้างอิง: Financial Times







