80 ปีระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิมา ปากคำผู้รอดชีวิต

วันที่ 6 ส.ค.2025 เป็นวันครบรอบ 80 ปี สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น จากนั้นในวันที่ 9 ส.ค. ทิ้งลูกที่ 2 ลงที่เมืองนางาซากิ ส่งผลให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามในอีกไม่กี่วันต่อมา ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2
KEY
POINTS
- คัตสึโกะ คุวาโมโตะ ผู้รอดชีวิตในวัย 86 ปี เล่าถึงเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิมา
- เธออยู่ในโรงเรียนที่ห่างจากจุดศูนย์กลาง 3.5 กิโลเมตร
- หลังระเบิดลง เธอและครอบครัวต้องออกตามหาแม่ท่ามกลางซากเมืองและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
- แม้เผชิญโศกนาฏกรรม คัตสึโกะไม่เคยโกรธแค้นสหรัฐ และเลือกที่จะให้อภัย โดยมีบทเรียนสำคัญว่ามนุษย์ไม่ควรทำสงครามกันอีก
วันที่ 6 ส.ค.2025 เป็นวันครบรอบ 80 ปี สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น จากนั้นในวันที่ 9 ส.ค. ทิ้งลูกที่ 2 ลงที่เมืองนางาซากิ ส่งผลให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามในอีกไม่กี่วันต่อมา ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2
ระเบิดปรมาณูพลิกประวัติศาสตร์โลก พร้อมๆ กับทิ้งความเจ็บปวดให้กับผู้คนนับแสน คัตสึโกะ คุวาโมโตะ ชาวเมืองฮิโรชิมาคือบุคคลหนึ่งผู้ผ่านประสบการณ์โหดร้ายดังกล่าว เธอได้ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 80 ปีก่อนให้คณะผู้สื่อข่าวอาเซียนฟังผ่านล่ามชาวญี่ปุ่น ต่อไปนี้คือปากคำของเธอ ผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิมา ฟังแล้วอาจให้บทเรียนแก่ผู้กระหายสงครามในยามนี้ได้
- เกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
ฉันเกิดเมื่อปี 1939 ในเวลานั้นญี่ปุ่นทำสงครามแล้ว ช่วงที่ระเบิดปรมาณูลงฮิโรชิมาฉันอายุได้ 6 ปี ผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพ่อต้องไปเป็นทหารและถูกส่งไปในประเทศต่างๆ “เผลอๆ อาจรวมถึงประเทศของพวกคุณก็ได้”
ดังนั้นทุกๆ ครอบครัวจึงเหลือแต่ แม่กับลูกหรือปู่ย่าตายาย
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดตั้งแต่เริ่มสงครามแน่นอนว่านั่นคือการที่พ่อถูกเรียกไปเป็นทหาร หลายคนเสียชีวิตขณะสู้รบ อีกหนึ่งความยากลำบากคือครอบครัวไม่มีอาหารกิน
“ตั้งแต่อายุราวสี่ขวบฉันจำความได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งก็มีแต่ความหิวโหย”
แม้สถานการณ์ยากลำบากแต่ฉันก็ได้เข้าโรงเรียนตอนอายุหกขวบในปี 1945 ช่วงเดือนท้ายๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานการณ์ของญี่ปุ่นเสื่อมถอยลงมากสงครามอาจยุติลงได้ทุกเมื่อ
ฉันเริ่มไปโรงเรียนในเดือน เม.ย. เริ่มต้นปีการศึกษา ช่วงนั้นกองทัพสหรัฐส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B29 บินเหนือฮิโรชิมาลำแล้วลำเล่า
ที่โรงเรียนเมื่อ B29 มาพวกเราจะได้ยินเสียงสัญญาณเตือน จากนั้นครูก็ให้พวกเรากลับบ้าน หลังจากฉันเข้าโรงเรีนได้หนึ่งเดือน เด็กเล็กอย่างนักเรียนประถมหรือต่ำกว่านั้น ห้ามอยู่กลางเมืองฮิโรชิมาเพราะอันตรายเกินไป เด็กคนไหนมีญาติอยู่ชานเมืองก็ให้ไปอยู่กับญาติ ส่วนคนที่ไม่มีญาติครูจะพาไปอยู่ด้วยที่วัดเชิงเขาบริเวณชานเมือง
เด็กประถมอายุไม่ถึง 12 ปีถูกอพยพออกจากใจกลางเมืองไปอยู่ตามโรงเรียนต่างๆ ขณะที่เด็กโต อายุ 13-15 ปี ยังอยู่ในเมืองเพื่อเป็นแรงงานแทนพ่อๆ หรือคนหนุ่มที่ถูกส่งไปรบ ต้องไปทำงานในโรงงานผลิตอาวุธแทนพ่อ ส่วนเด็กผู้หญิงทำงานที่ไปรษณีย์ เป็นผู้ช่วยพยาบาลในโรงพยาบาล หรือขับรถราง
ตัวฉันกับพี่สาววัย 8 ขวบถูกส่งไปอยู่นอกเมืองกับป้าที่แต่งงานกับเกษตรกร เมื่อเราไปถึงพบว่าที่บ้านป้ามีไม่น้อยกว่าสี่ครอบครัวมาอยู่ก่อนแล้ว ครอบครัวหนึ่งต้องอยู่ในคอกสัตว์เหมือนกับหมูหรือวัว พวกเขาวางของไว้ที่พื้นแล้วก็นอนกองกันอยู่บนนั้น อีกครอบครัวอยู่ท่ามกลางเครื่องมือเกษตร อีกครอบครัวไปอยู่ในโกดังเก็บของ
ครอบครัวของป้ามีทุ่งนากว้างขวางปลูกพืชนานาชนิด แต่ต้องมอบผลผลิตให้กับชาติ ดังนั้นแม้ชาวนาจะปลูกพืชผลรวมทั้งข้าวได้มากมายก็กินไม่ได้ พวกเขาจึงหิวโหยไม่ผิดจากคนที่อยู่ในเมือง
ฉันก็หิว ทุกคนหิวกันหมดและหงุดหงิด หากอาหารหายไปก็กล่าวโทษกันและกัน เพราะฉันและพี่สาวไม่มีพ่อแม่ เราจึงถูกกล่าวโทษเสมอ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทุกวันฉันจึงอยากกลับบ้านไปหาแม่
บ่ายวันเสาร์เมื่อโรงเรียนเลิกเราจะได้กลับบ้านนอนค้างหนึ่งคืน คืนวันอาทิตย์ก็กลับมาบ้านป้า คืนหนึ่งตอนพวกเราอยู่กับแม่ เราร้องไห้หนักมากอยากอยู่กับแม่ตลอดไป ต่อให้โดนระเบิดเสียชีวิตก็ยอมขอให้ได้อยู่กับแม่
แต่เพื่อนบ้านมาบอกว่า ถ้าระเบิดทิ้งลงมาแล้วเราอยู่ที่นี่แม่ก็หนีไม่ได้เพราะห่วงหน้าพะวงหลัง ควรกลับไปอยู่บ้านป้าจะดีกว่า พวกเราจึงตัดสินใจกลับบ้านป้า วันนั้นเป็นบ่ายวันที่ 5 ส.ค. หนึ่งวันก่อนระเบิดปรมาณูลง ถ้าเรายังอยู่ที่นั่นฉันกับพี่สาวต้องตายเพราะระเบิดแน่ๆ
นับจากนั้นทุกครั้งที่ B29 บินมาเหนือฮิโรชิมา เสียงสัญญาณเตือนจะดังมากพวกเราต้องลงหลุมหลบภัย แต่บางครั้งไม่รู้ว่าทำไมไม่มีสัญญาณเตือน เช้าวันนั้นชาวฮิโรชิมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติ เดินไปทำงานบ้างก็ปั่นจักรยานหรือนั่งรถไฟ
เมื่อ B29 ทิ้งระเบิดลูกหนึ่งลงมามันหมุนติ้วๆ สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า พวกเราคิดว่าเป็นอะไรที่เปล่งประกายสวยมาก สิ่งสวยงามกำลังลงมาเหนือพื้นที่ที่เป็นสวนสันติภาพในตอนนี้ นั่นคือใจกลางฮิโรชิมา และแล้วเสียงระเบิดก็ดังขึ้น ความเข้าใจของทุกคนในตอนนั้นมันคือ pikadon (pika แปลว่า ประกายแวววาว don คือเสียงระเบิด)
มันระเบิด 600 เมตรเหนือพื้นดิน ด้วยความร้อนระดับ 4,000 องศาไม่มีใครจินตนาการได้ว่าร่างกายมนุษย์จะเป็นอย่างไร นักเรียนชายที่เตรียมทำงานกลางแจ้งเคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป กางเกงขายาวที่สวมมอดไหม้ ลูกตาถลนออกนอกเบ้า เพราะแรงระเบิดทำให้แรงดันอากาศเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ความร้อนรุนแรงทำให้ทุกคนกระหายน้ำจึงพากันไปที่แม่น้ำ แต่ทันทีที่จิบเข้าไปเพียงหนึ่งหยดพวกเขาเสียชีวิตทันที เพราะอวัยวะภายในล้มเหลว
ในเวลานั้นฮิโรชิมามีโรงพยาบาลสามแห่งสร้างจากเหล็กและคอนกรีต ผู้คนพากันเดินไปที่โรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว กลายเป็นว่าโครงสร้างอาคารเหลืออยู่ก็จริงแต่ภายในไม่มีอะไรเหลือ ไม่มียา ผ้าพันแผล เวชภัณฑ์ หรืออื่นๆ แพทย์พยาบาลถ้าไม่บาดเจ็บก็ล้มตาย ไม่มีใครให้การรักษาได้
วันที่ 6 ส.ค.วันเดียวมีผู้เสียชีวิตราว 80,000 คน ในเมืองมีแต่ศพถึงเดือน ธ.ค.1945 มีผู้เสียชีวิตราว 140,000 คน ปี 1946 ยอดผู้เสียชีวิตรวมราว 200,000 คน
ตอนนั้นเราไปโรงเรียนกันตามปกติ เราอยู่รอบๆ พื้นที่สีเหลืองห่างจากกราวด์ซีโร (พื้นที่ศูนย์กลาง) ราว 3.5 กิโลเมตร ส่วนแม่อยู่คนเดียวในพื้นที่สีเหลืองห่างจากกราวด์ซีโร 1.3 กิโลเมตร
(คัตสึโกะอธิบายแผนผังเมืองฮิโรชิมา)
ในพื้นที่สีเหลืองถ้าคุณอยู่นอกบ้านคุณจะถูกความร้อนเผา ระเบิดลงก่อน 8.15 น.เล็กน้อยเด็กๆ อยู่ในโรงเรียน ระฆังบอกเวลาเริ่มเรียน ในห้องได้ยินเสียงระเบิดดังมาก หน้าต่างทุกบานแตกกระจัดกระจาย
เพื่อนนักเรียนหญิงร่วมห้องของฉันกำลังเล่นอยู่ใกล้หน้าต่าง ถูกเศษแก้วบาดเลือดพุ่งราวกับน้ำพุ ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่คุณครูเข้ามาอุ้มเธอวิ่งออกไปนอกห้อง วิ่งไปรอบๆ สนาม
ใบหน้าของครูบิดเบี้ยว เจ็บปวดและซีดเผือด เราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรได้แต่คว้าเสื้อครูแล้ววิ่งตาม ฉันไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นนานแค่ไหน
หลังจากระเบิดป้ามารับพวกเรากลับ เมื่อถึงบ้านป้าและเริ่มสงบจิตสงบใจได้บ้างฉันก็คิดถึงแม่ขึ้นมา แม่อยู่ตัวคนเดียวกลางเมืองฮิโรชิมาพวกเราเป็นห่วงแม่ ญาติรุ่นพี่ที่อาศัยอยู่บ้านป้าด้วยกันรับอาสาไปดูแม่ให้ เขาสะพายเป้ใส่ขวดน้ำไปหาแม่
เราหวังว่าเขาจะพาแม่ของเรากลับมาด้วย แต่ไปได้ไม่ถึง 10 นาทีเขาก็กลับมาเพราะแค่ 5 นาทีที่เขาออกไปไฟก็ลุกท่วมกลางเมือง เขาไปต่อไม่ได้
เราต้องรอจนไฟดับอีกสามวันต่อมา ป้า พี่สาว และตัวฉันออกไปหาแม่ เริ่มจากจุดที่ญาติถอยกลับ พวกเราเจอแต่ศพ แยกไม่ออกว่าตรงไหนถนน ตรงไหนที่นา ตรงไหนบ้านคน
คนที่โดนระเบิดพยายามออกจากใจกลางเมืองแต่ก็ไปต่อไม่ได้ เราพยามมองหาแม่แต่ก็หาไม่เจอ พวกเขาถูกเผาไหม้รุนแรงทั้งตัวจนหน้าบวมอักเสบใหญ่กว่าปกติ 1.5 เท่า เสื้อผ้าไหม้หมด แยกไม่ได้ว่าหญิงหรือชาย วันที่ 6 ส.ค.เป็นช่วงอากาศร้อนที่สุดของญี่ปุ่น ร่างคนตายถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความร้อนของฤดูกาล คุณลองจินตนาการดูก็แล้วกันว่าศพจะเป็นอย่างไร
ต่อมาเรารู้ว่าแม่ไม่ค่อยสบายในเช้าวันที่ระเบิดลง ตอนที่ระเบิดถูกทิ้งลงมาในเวลา 8.15 น. แม่ได้ยิงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว บ้านเราที่เป็นบ้านไม้แบบญี่ปุ่นพังลงมาแม่อยู่ใต้ซากบ้านขยับเขยื้อนไม่ได้ เพื่อนบ้านคนหนึ่งพยายามเรียกชื่อแม่ แต่แม่ออกไปไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง “ฉันอยู่นี่ อยู่นี่”
เพื่อนบ้านต้องพังหลังคามาดึงตัวแม่ออกไป และตัดสินใจไปจากที่นั่นระหว่างทางพวกเขาพบผู้หญิงคนหนึ่งเลือดอาบทั้งตัว เธอขอไปด้วย เธออยู่ใกล้กับจุดไฟไหม้ พวกแม่จึงเคลื่อนเธอมาเหนือลม
แถวนั้นมีเนินเขาเล็กๆ ชื่อ ภูเขาฮิจิยามา พวกเขาข้ามเนินไปแล้วไปนั่งพักที่ทุ่งนา แม่อยากมาหาพวกเราที่บ้านป้า เธอห่วงพวกเรามากแต่มาไม่ได้เพราะไฟไหม้ ราวหนึ่งสัปดาห์หลังระเบิดเธอจึงได้มา โดยที่พวกเราชาวฮิโรชิมาไม่เคยรู้เลยว่านั่นคือระเบิดปรมาณูซึ่งมีกัมมันตภาพรังสี
แม่เดินฝ่าใจกลางเมืองฮิโรชิมามาหาพวกเรา แม่ทุกคน แม่ของนักเรียนโตที่ถูกระดมไปทำงานในเมืองก็เดินข้ามกลางเมืองที่กัมมันตภาพรังสีเข้มข้นเพื่อหาลูก พวกเธอจึงล้มป่วยในภายหลัง
ตัวแม่ของฉันตอนที่เราเจอกันครั้งแรกหลายวันหลังระเบิดลง เธอดูดี แต่หน้าเขียวซีดอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะระบบเม็ดเลือดที่กระดูกสันหลังถูกทำลาย
สงครามสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ส.ค. แต่ยังขาดแคลนอาหาร ญี่ปุ่นในสมัยนั้นเมื่อผู้หญิงแต่งงานพ่อแม่จะเตรียมกิโมโนไว้ให้หลายชุด แม่ก็เหมือนกัน แม่ต้องเอากิโมโนไปขายแลกอาหาร
ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นฝนตกติดต่อกันหลายวัน แม่ยังไม่กลับมาบ้าน มีคนมาบอกเราว่า ให้ตามพวกเขาไปแม่กำลังจะตายในวันพรุ่งนี้ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาพูดแบบนั้นแต่ฉันกับพี่สาวก็ตามไป และได้พบแม่นอนอยู่ในบ้านหลังหนึ่งมีคนกางร่มให้ร่างกายทุกส่วนเปียกปอนยกเว้นใบหน้าและทรวงอก เมื่อฉันกับพี่สาวไปถึงข้างเตียงแม่พยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดไม่หยุด คนที่ดูแลแม่บอกว่าแม่เป็นลูคีเมียและวัณโรค ต้องตายไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อพ่อกลับมาหลังสงครามสิ้นสุดโชคดีที่พ่อกับแม่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกันจึงให้เลือดกันได้ แม่ค่อยๆ ดีขึ้นครอบครัวเราสี่คนได้อยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นแม่เป็นมะเร็งปอดหายใจลำบาก ตามมาด้วยมะเร็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย จนกระทั่งเสียชีวิตด้วยเนื้องอกในสมอง สิบกว่าปีหลังจากฮิโรชิมาถูกระเบิดปรมาณูถล่ม
- ไม่เคยเกลียดชังสหรัฐ
นั่นคือปากคำของคัตสึโกะ ตัวเธอเองก็มีอาการไทรอยด์ผิดปกติ ระหว่างที่เธอเล่าเรื่องราวด้วยภาษาญี่ปุ่น ฮิโรโกะ คาวาตะ ล่ามชาวญี่ปุ่น ต้องกลั้นสะอื้นหลายครั้ง เมื่อเล่าจบคัตสึโกะได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าว
Q: คุณเคยเกลียดชังหรือโกรธเคืองรัฐบาลสหรัฐหรือไม่
A: ฉันไม่ได้โกรธเคืองกองทัพหรือรัฐบาลสหรัฐ หลังจบชั้นประถมเรียนต่อมัธยมซึ่งเป็นโรงเรียนมิชชันนารี สอนโดยมิชชันนารีชาวอเมริกัน พวกเขาใจดี เป็นครูที่ดี ฉันมีความสุขที่ได้เรียนหนังสือกับพวกเขาในโรงเรียนนี้
Q: คุณได้รับเงินชดเชยจากสหรัฐบ้างหรือไม่
A: ไม่เลย ไม่เคยได้
Q: ทำไมคุณถึงได้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้พวกเรานักข่าวอาเซียนฟัง
A: ฉันอยากเล่าเรื่องราวของฉันให้แก่ทุกคนที่อยากฟัง คนอเมริกันก็มาฟังกันหลายคน
Q: คุณให้อภัยพวกเขาหรือยัง
A: ฉันคิดว่าไม่มีประโยชน์ถ้าเรายังเกลียดชัง ใช่ ให้อภัย พวกเราได้รับการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียนจากสหรัฐ ฉันจำได้ว่าเป็นนมพร่องมันเนย ปกติจะให้สัตว์กินแต่เราก็ยังดีใจที่ได้กินอาหาร รวมถึงนมด้วย ดังนั้น ฉันขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนที่อาหารกลางวันของโรงเรียน
Q: ในฐานะผู้สูงอายุและผู้รอดชีวิต อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่คุณได้จากวันที่ 6 ส.ค.1945
A: เราไม่ควรทำสงครามอีก และถ้ามีใครพูดอย่างไม่แยแสว่าจะทิ้งระเบิดลงที่ไหนสักแห่ง ฉันจะฆ่าเขา
(ภาพโดย Pham Quynh Trung และ Danish Raja Reza)







