คำต่อคำ ‘มาริษ’ แจงคณะทูต 74 ประเทศ ความจริงของไทยมีหลักฐานโลกรับฟัง

คำต่อคำ ‘มาริษ’ แจงคณะทูต 74 ประเทศ ความจริงของไทยมีหลักฐานโลกรับฟัง

กระทรวงการต่างประเทศ จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูต และองค์การระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ

KEY

POINTS

  •  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาแก่คณะทูต 74 ประเทศ ยืนยันเจตนารมณ์ไทยแก้ปัญหาอย่างสันติ
  • ไทยยืนยันว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่พิสูจน์ได้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน  
  • ไทยย้ำจุดยืนในการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกการเจรจาทวิภาคีเท่านั้น  
  • เรียกร้องให้กัมพูชายึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง และเจรจาด้วยความจริงใจ พร้อมทั้งยุติการกระทำยั่วยุ และการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร

กระทรวงการต่างประเทศ จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูต และองค์การระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ   คำต่อคำ ‘มาริษ’ แจงคณะทูต 74 ประเทศ ความจริงของไทยมีหลักฐานโลกรับฟัง

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ บรรยายสรุปแก่เอกอัครราชทูตหรือผู้แทนจาก 74 ประเทศ, หนึ่งองค์กร (สหภาพยุโรป) และผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศ 16 องค์การ รวมทั้งสิ้น 121 คน

มาริษ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการบรรยายสรุปเพื่อให้ข้อมูลสถานการณ์ และแจ้งให้ทราบถึงเจตนารมณ์ของไทยที่ต้องการก้าวไปข้างหน้า การบรรยายแบ่งเนื้อหาเป็นสองส่วนคือ จุดยืนของไทยในการประชุมพิเศษที่ปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และการดำเนินการอย่างจริงจังของไทยในการประท้วงการกระทำอันโหดร้ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายด้านมนุษยธรรมของกัมพูชา เช่น การโจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยไม่เลือกหน้า การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างเปิดเผย

 

รมว.มาริษ ระบุว่า การประชุมทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน สหรัฐซึ่งเป็นผู้ร่วมจัดการประชุม และจีนในฐานะผู้สังเกตการณ์

ทั้งนี้ หลังจากสู้รบอย่างเข้มข้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา การที่ทั้งสองฝ่ายประชุมกันถือเป็นสัญญาณดี การหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบเป็นก้าวย่างสำคัญหยุดยั้งการเสียเลือดเนื้อ และเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นในการลดความรุนแรงและการสนทนาเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้อย่างถาวรต่อไป

“ผมขอประกาศอย่างชัดเจนว่า ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุกันที่ปุตราจายาอย่างเต็มที่ และอยากเห็นฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตามอย่างจริงใจ และสุจริตใจเพื่อเดินหน้าการเจรจา” มาริษกล่าวและว่า ตามแถลงการณ์ร่วมฝ่ายกัมพูชาเห็นชอบกลับมาใช้กลไกการเจรจาทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยเรียกร้องมาตลอด

มาริษยังกล่าวถึงการที่ผู้บัญชาการภูมิภาคของไทย และกัมพูชาได้หารือกันเมื่อวันที่ 29 ก.ค.68 เพื่อร่างมาตรการเร่งด่วนลดความตึงเครียด การหารือจะดำเนินต่อไป โดยคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญ เป็นการประชุมระดับนโยบายของกระทรวงกลาโหมกำลังมีขึ้นในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค.68 เพื่อกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมของการหยุดยิง

นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องให้รื้อฟื้นการสื่อสารระหว่างนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการป้องกันการเข้าใจผิดและช่วยลดความตึงเครียด โดยมาเลเซีย ไทย และกัมพูชา จะร่วมกันเป็นตัวหลักในการตรวจสอบ และสังเกตการณ์การปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงแม้ภารกิจสังเกตการณ์เบื้องต้นจะเป็นหน้าที่ของอาเซียนแต่ก็ยินดีรับการสนับสนุนจากประเทศที่เป็นมิตรด้วยเช่นกัน

  •  ย้ำเป็นเรื่องของสองประเทศ

“ผมขอใช้โอกาสนี้ตอกย้ำถึงจุดยืนของเราอีกครั้งว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องของสองประเทศ หากมีความพยายามใดๆ ทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ เราได้ยืนยันในหลายโอกาสแล้วว่าไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) ต้องการแก้ไขปัญหาด้วยการหารือสองฝ่ายเท่านั้นตามกรอบเค้าโครงที่สองประเทศได้เห็นชอบกันไปแล้ว ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเรา ที่จะหาทางออกอย่างถาวร และสันติในประเด็นปัญหาของสองประเทศสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎบัตรอาเซียน”

ในช่วงท้ายของการบรรยาย มาริษเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชามุ่งมั่นหารืออย่างสันติด้วยความจริงใจ สุจริตใจ งดเว้นกระทำการยั่วยุ บิดเบือนข่าวสาร หรือปฏิบัติการด้านข่าวสารที่รังแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

“สุดท้ายนี้ซึ่งสำคัญที่สุด นี่คือ สถานการณ์อันน่าเศร้าสลด เราไม่ได้เริ่มต้นความขัดแย้งนี้ ความขัดแย้งกับกัมพูชาไม่ใช่สิ่งที่ไทยต้องการอย่างแน่นอน” รัฐมนตรีย้ำต่อหน้าคณะทูต

ต่อมา นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงเพิ่มเติมว่า การบรรยายสรุปแก่คณะทูตเป็นกิจกรรมที่กระทรวงทำมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ได้เชิญผู้แทนองค์การระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในประเทศไทยมาด้วย เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมนุษยธรรม และอนุสัญญาหลายฉบับ คำต่อคำ ‘มาริษ’ แจงคณะทูต 74 ประเทศ ความจริงของไทยมีหลักฐานโลกรับฟัง

โฆษกกล่าวต่อไปว่า หลังจากรัฐมนตรีกล่าวเปิดแล้ว อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้ให้ภาพรวมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่การปะทะกันครั้งแรกในวันที่ 28 พ.ค.68 จนถึงปัจจุบันที่มีการประชุม GBC และจะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ในเร็วๆ นี้ รวมทั้งชี้แจงจุดยืนไทยเพื่อลดความตึงเครียด และคลี่คลายสถานการณ์โดยสันติ จากนั้นเป็นการบรรยายของอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศให้ข้อมูลเรื่องการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายสิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรม ระหว่างประเทศรวมถึงการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ ตลอดจนการประท้วงของไทยในเวทีระหว่างประเทศ

  •  มีหลักฐานกัมพูชาโจมตีก่อน

นิกรเดช สรุปการบรรยายของทั้งสามคนเป็น 9 ประเด็น คือ 1) ประเทศไทยเป็นประเทศที่รับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ยึดมั่นในสันติภาพ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากกัมพูชาที่ยั่วยุไทยหลายครั้ง และเปิดฉากโจมตีก่อน 2) ไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์บ่งชี้ว่ากัมพูชาโจมตีก่อนแบบไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งคณะผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่ด้วยตาตนเอง 3) การตอบโต้ของไทยเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเองอย่างชอบธรรมตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ตอบโต้อย่างได้สัดส่วนตามกฎหมายระหว่างประเทศ มุ่งเป้าทหารเท่านั้นไม่ถือเป็นการรุกราน

  •  ไทยโต้ข้อกล่าวหาทุกเวที

4) การโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาถือเป็นการรุกรานอย่างชัดเจน 5) ไทยตอบโต้ข้อกล่าวหาอย่างไม่มีหลักฐานของกัมพูชาในทุกเวทีและทุกประเด็น 6) ไทยชื่นชมบทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ขอบคุณสหรัฐ และจีนที่สนับสนุนให้การหยุดยิงเกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่กัมพูชายังละเมิด 7) ไทยยังมุ่งมั่นแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เช่น การประชุม GBC สมัยพิเศษในวันที่ 7 ส.ค.68 ที่มาเลเซีย สหรัฐ และจีนได้รับเชิญให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย 8) กลไกทวิภาคีต่อไปคือ การประชุม JBC ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดในเดือนก.ย. โดยหวังว่ากัมพูชาจะเข้าร่วมด้วยความจริงใจ เพื่อหาทางออกร่วมกันในประเด็นเขตแดนที่ยังคั่งค้างอยู่ 9) ขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารที่มีขึ้นแทบทุกวัน

  •  กัมพูชาไร้หลักฐาน

 “การนำเสนอข้อมูลของฝ่ายไทยเราเน้นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้บนหลักวิทยาศาสตร์ เน้นข้อมูลเชิงประจักษ์ เราเชื่อว่าการเจรจาจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน และเชื่อว่าต้องนำความจริงมาคุยกันบนพื้นฐานของความสุจริตใจ เฟกนิวส์ไม่ช่วยในกรณีดังกล่าวนี้” โฆษกกล่าวพร้อมยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า ความจริงของไทยได้รับการสะท้อนในเวทีระหว่างประเทศเพราะเป็นความจริงบนหลักฐานที่พิสูจน์ได้ เช่น การที่คณะผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 ได้เห็นชนิดของระเบิด, กับระเบิด และอาวุธที่ใช้ซึ่งพิสูจน์ได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ประชาคมระหว่างประเทศพิจารณา ขณะที่กัมพูชาพูดเข้าข้างตนเองโดยไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนสิ่งที่ตนเองพูด นี่คือความแตกต่างชัดเจนระหว่างไทยกับกัมพูชา

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์