ถอดบทเรียนอินโดฯ คุม 'ฟินฟลูเอนเซอร์' นักขายไม่ใช่ 'ที่ปรึกษาการเงิน'

'ฟินฟลูเอนเซอร์' บทเรียนตลาดหุ้นอินโด ทำ 'ฟองสบู่ P2P' แตก รายย่อยสูญเงินกว่า 6 พันล้านรูเปียห์ ดัน OJK สั่งคุมเข้ม ปรับสถานะเป็น 'นักขาย' ไม่ใช่ 'ที่ปรึกษา'
การตัดสินใจลงทุนตามคำแนะนำของผู้มีอิทธิพลทางการเงินออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า "ฟินฟลูเอนเซอร์" ได้นำมาซึ่งบทเรียนอันแสนเจ็บปวดสำหรับนักลงทุนรายย่อยในอินโดนีเซีย
สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า ความต้องการลงทุนในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการระบาดของโควิด-19 โดยมีคนรุ่นใหม่เป็นแกนนำ จำนวนนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับตลาดทุนพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จาก 2.5 ล้านราย ในปี 2562 เป็น 19.2 ล้านราย ณ เดือนต.ค. โดย 99.7% เป็นบุคคลธรรมดา
ทว่านักลงทุนหน้าใหม่เหล่านี้จำนวนมากขาดความรู้ทางการเงิน และถูกดึงดูดด้วยสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงและกำไรอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขาหันไปพึ่งคำแนะนำของฟินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งมักให้คำแนะนำหลากหลายตั้งแต่หุ้น สกุลเงินดิจิทัล ไปจนถึงการกู้ยืมแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P)
การสำรวจในปี 2566 โดยกลุ่มวิจัยด้านเศรษฐกิจในจาการ์ตา(CELIOS) ชี้ให้เห็นว่า 70% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไว้วางใจฟินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งใกล้เคียงกับที่ปรึกษาทางการเงินที่มีใบอนุญาตที่ 69.5% สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่สูงมากของบุคคลเหล่านี้ต่อการตัดสินใจทางการเงินของนักลงทุนในตลาด
ภีมะ ยุธิษฐิระ อธิเนการา ผู้อำนวยการบริหารของ CELIOS ชี้ว่า "ผู้คนมักถูกโน้มน้าวโดยผู้มีอิทธิพลที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่การอ่านรายงานทางการเงินหรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท"
บทเรียนราคาแพงจาก ‘คำแนะนำ’ บนโซเชียลมีเดีย
อานิตา แคโรไลนา หญิงวัย 29 ปี ชาวสุราบายา คือหนึ่งในผู้เสียหาย เธอสูญเสียเงินออมก้อนใหญ่จำนวน 471 ล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 9 แสนบาท หลังลงทุนในแพลตฟอร์ม P2P ที่ชื่อว่าอักเซเลรัน (Akseleran) ตามการโปรโมตบนโซเชียลมีเดีย
ปัจจุบัน Akseleran กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องจากผู้เสียหายอย่างน้อย 19 ราย ที่อ้างว่าบริษัททำให้พวกเขาขาดทุนรวมประมาณ 6 พันล้านรูเปียห์ หรือราว 11 ล้านบาทไทย
แคโรไลนาให้สัมภาษณ์กับนิกเกอิเอเชียอย่างผิดหวังว่า “การลงทุนไม่ควรถูกทำการตลาดแบบเล่นๆ อินฟลูเอนเซอร์คือนักขาย ไม่ใช่ที่ปรึกษาทางการเงิน” ซึ่งทำให้เธอได้เปลี่ยนไปศึกษาข้อมูลการลงทุนด้วยตนเองอย่างเข้มงวด
OJK คุมเข้ม ปราบสถาบันการเงินผิดกฎหมาย
จากกรณีการลงทุนที่ผิดพลาดและการฉ้อโกงที่เพิ่มขึ้น สำนักงานบริการทางการเงินของอินโดนีเซีย จึงต้องออกมาตรการกำกับดูแลเพื่อปกป้องนักลงทุน ถึงขั้นเตือนนักลงทุนผ่านแคมเปญโซเชียลมีเดียว่า “แค่เป็นกระแสไวรัลไม่ได้หมายความว่ามันจะดี”
หลังจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์และโบรกเกอร์ต้องตรวจสอบกำกับดูแล และรับผิดชอบทางกฎหมายต่อเนื้อหาส่งเสริมการขายที่อินฟลูเอนเซอร์ของบริษัทสร้างขึ้น
รวมทั้ง เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่วิเคราะห์หลักทรัพย์ต้องได้รับใบอนุญาตเป็น ที่ปรึกษาการลงทุน และอินฟลูเอนเซอร์ต้องเปิดเผยการรับรองที่ได้รับค่าตอบแทนอย่างโปร่งใส และต้องนำเสนอทั้ง ความเสี่ยงและผลตอบแทน สำหรับการลงทุนใดๆ
ฟรีเดอริกา วิดยาซารี เดวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OJK เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี 2560 ถึงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา OJK ได้ปิดหรือบล็อกสถาบันการเงินผิดกฎหมายไปแล้วถึง 13,229 แห่ง โดยกว่า 80% เป็นบริการสินเชื่อออนไลน์ รวมทั้งแพลตฟอร์มการลงทุนและโรงรับจำนำ
นอกจากนี้ OJK ยังเพิกถอนใบอนุญาตของแพลตฟอร์ม P2P Lending ชื่อ Crowde และกำลังร่วมมือกับตำรวจเพื่อสืบสวนผู้ให้บริการ P2P รายอื่น ๆ เช่น อักเซเลรัน, คอยน์ พีทูพี และดานา ชาริอะห์ อินโดนีเซียซึ่งล่วนแล้วแต่ประสบปัญหาการผิดนัดชำระเงิน
อย่าไว้ใจ ‘อินฟลูเอนเซอร์’
ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหลายคนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ OJK เนื่องจากฟินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากขาดความรู้ที่เหมาะสม
เตาฮิด อาหมัด (Tauhid Ahmad) นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันเพื่อการพัฒนาเศรษฐศาสตร์และการเงินในจาการ์ตากล่าวว่า "เป็นเรื่องง่ายสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะติดป้ายตัวเองว่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเงิน โดยไม่มีภูมิหลัง และพวกเขามักจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงอย่างจำกัด”
ริต้า เอเฟนดี้ (Rita Efendy) นักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปีในตลาดทุนกล่าวว่า ฟินฟลูเอนเซอร์หลายคน "ขาดการศึกษาหรือความเข้าใจทางการเงินที่เหมาะสม" ในการให้คำแนะนำ
แม้แต่เฟลิเซีย ปูตรี จิอาซากา ฟินฟลูเอนเซอร์ ที่มีผู้ติดตาม 1.4 ล้านคน บน แพลตฟอร์มติดตอกก็ยอมรับว่าเคยแนะนำ P2P Lending อย่างผิดพลาดและหยุดลงทุนในปี 2566 และชี้ว่า "ในอินโดนีเซีย P2P ที่สร้างผลกำไร กำลังล้มเหลว จากปัญหาเศรษฐกิจไปจนถึงปัญหาภายในบริษัทในการอนุมัติสินเชื่อยังไม่เข้มงวดมากพอ”
รอย ศักติ ฟินฟลูเอนเซอร์อีกรายที่มีผู้ติดตามกว่า 600,000 ราย สนับสนุนการควบคุมของ OJK โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามผู้มีอิทธิพล "อวดความมั่งคั่ง" โดยตรง เพื่อลดแรงจูงใจในการหลอกลวง
สุดท้ายแล้ว ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย "ความกลัวที่จะพลาด" หรือ FOMO ที่รุนแรงขึ้นจากโซเชียลมีเดีย ยิ่งทำให้เหล่านักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดย OJK แนะนำให้ตรวจสอบประวัติ ของผู้ให้คำแนะนำทางการเงิน และให้แสวงหาคำแนะนำจากนักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรองแทน







