‘ประชาธิปไตยสหรัฐ’ ถูกตั้งคำถาม หลังบิ๊กเจ้าหน้าที่ แห่ ‘ลาออก-ถูกปลด’ อื้อ

‘ประชาธิปไตยสหรัฐ’ ถูกตั้งคำถาม หลังบิ๊กเจ้าหน้าที่ แห่ ‘ลาออก-ถูกปลด’ อื้อ

ช่วงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐลาออกและถูกปลดจำนวนมากจนนำมาสู่คำถามต่อประชาธิปไตยในสหรัฐ

KEY

POINTS

  • ทรัมป์ปลดเจ้าหน้าที่ที่ไม่เห็นด้วยและแต่งตั้งบุคคลที่ภักดีต่อตนเองเข้ารับตำแหน่งสำคัญ เช่น การตั้งอดีตพิธีกรฟอกซ์นิวส์เป็นอัยการสหรัฐ
  • ปลดหัวหน้าสำนักงานสถิติการจ้างงานหลังเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ไม่เป็นที่พอใจ และเตรียมแต่งตั้งคนของตนเองเข้ามาแทน
  • คณะกรรมการเฟดลาออกก่อนครบวาระ ทำให้เกิดช่องว่างให้ฝ่ายบริหารส่งคนเข้าไปมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงิน
  • เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเอ็มเอฟประกาศลาออก ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้สหรัฐส่งคนเข้าไปกำหนดทิศทางองค์กร

หลายทศวรรษที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบของประชาธิปไตยของโลก ประเทศที่เป็นต้นแบบของการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการอย่างโปร่งใส แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา “ความโปร่งใส” นั้นกลับเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น

เหตุการณ์สำคัญที่เน้นย้ำข้อกังกลดังกล่าวคือ “ปลดคณะทำงานที่เห็นต่างจากทรัมป์ออก” และนำ “คนที่ตัวเองไว้ใจ” เข้าไปนั่งในตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานสำคัญของรัฐ หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการแต่งตั้งอดีตพิธีกรของฟอกซ์นิวส์อย่าง เจนีน พีร์โร เป็นอัยการสหรัฐในวอชิงตัน ดีซี เมื่อวันเสาร์ที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา

แต่งตั้งอดีตผู้ประกาศ ‘ฟอกซ์ นิวส์’ เป็นอัยการ

สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์ส ให้ข้อมูลผ่านบทวิเคราะห์ “Senate Confirms Jeanine Pirro as U.S. Attorney for D.C.” ว่าพีร์โรทำงานในฐานะอัยการชั่วคราวมาสักพักหนึ่งแล้วก่อนที่สมาชิกวุฒิสมาชิก (ส.ว.) จะลงนามรับรองเธอด้วยคะแนนเสียง 50 ต่อ 45 ในวันเสาร์ที่ผ่านมา โดย ส.ว. จากพรรคเดโมแครตพร้อมใจโหวตคว่ำทั้งหมด และก่อนหน้านี้พีร์โรเคยนั่งเก้าอี้อัยการประจำมลรัฐเวสต์เชสเตอร์ เคาน์ตี้ จากพรรครีพับลิกัน รวมทั้งอดีตพิธีกรประจำรายการ Justice with Jeanine ของสำนักข่าวฟอกซ์นิวส์ เช่นเดียวกัน

ริชาร์ด เจ. เดอร์บิน ส.ว. จากรัฐอิลลินอยส์จากพับรีพับลิกัน ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์ส ว่า “ทรัมป์ใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นอาวุธเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้องและไล่ล่าศัตรูมาโดยตลอดและอัยการพีร์โรก็พิสูจน์แล้วว่าเธอพร้อมจะทำตามความต้องการของทรัมป์”

 

ส.ว.ท่านนี้อธิบายเสริมว่า “เธอไม่เหมาะสมที่จะเป็นอัยการสหรัฐประจำวอชิงตัน และผมเชื่อว่ามันเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่เพื่อนร่วมงานพรรครีพับลิกันของผมลงคะแนนเสียงสนับสนุนเธอ”

ก่อนหน้านี้พีร์โร สนับสนุนทรัมป์ในหลายด้านสำคัญ เช่น

  1. ตรวจคนเข้าเมือง: สนับสนุนการท้าทายผู้พิพากษาระดับรัฐบาลกลางที่ตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมของนโยบายการตรวจคนเข้าเมือง
  2. สงสัยในชัยชนะไบเดน: ที่สำคัญคือเธอเป็นหนึ่งในบุคคลที่แสดงความสงสัยต่อความชอบธรรมของการเลือกตั้งโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีในปี 2563 
  3. ระบบลงคะแนนเสียงยุคไบเดน: พีร์โรเป็นผู้ดำเนินรายการฟอกซ์นิวส์ที่ถูกฟ้องร้องโดยDominion Voting Systems เนื่องจากการตั้งคำถามความถูกต้องของการนับคะแนนเสียงในยุคไบเดน แต่ฟอกซ์ต้องยอมรับในภายหลังว่าข้อกล่าวหาที่พีร์โรและคนอื่นๆ กล่าวถึง ดอมิเนียน โวตติ้ง ซิสเต็มส์ (Dominion Voting Systems) นั้นเป็นเท็จ

ทั้งนี้ ดอมิเนียน เป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับการเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาในช่วงการเลือกตั้งในยุคที่ไบเดนชนะการเลือกตั้ง

ในทางกลับกัน ในปี 2564 ช่วงชั่วโมงสุดท้ายของวาระแรกของทรัมป์ เขาได้ให้อภัยโทษอัลเบิร์ต เจ. พีร์โร จูเนียร์ อดีตสามีของพีร์โรและอดีตทนายความของทรัมป์จากข้อหาสมรู้ร่วมคิดและหลีกเลี่ยงภาษี

ไล่หัวหน้า ‘สำนักงานสถิติการจ้างงาน’ และจ่อแต่งตั้งคนของตัวเอง

เมื่อวันศุกร์ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์ไล่เอริกา แมคเอ็นทาร์เฟอร์ หัวหน้าสำนักงานสถิติการจ้างงาน (BLS) ออกหลังจากตัวเลขการจ้างงาน โดยเขากล่าวหาว่าตัวเลขการจ้างงานประจำเดือน ก.ค. ที่อ่อนแอซึ่งประกาศออกมานั้นเป็นการ “จัดฉาก” อย่างไรก็ตามคณะทำงานของทรัมป์กลับไม่ได้ให้เหตุผลสนับสนุนข้อกล่าวหาดังกล่าวว่าจัดฉากอย่างไร

แมคเอ็นทาร์เฟอร์ทำงานในบีแอลเอสมาหลายทศวรรษตั้งแต่เป็นนักเศรษฐศาสตร์จนกระทั่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาอยู่ในระดับผู้บริหาร เธอได้รับการโหวตให้เข้าสู่ตำแหน่งจากส.ว.เมื่อปีที่แล้วด้วยคะแนนเสียงข้างมากของส.ว.จากทั้งสองพรรคการเมือง และล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันที่ 4 ส.ค. ตามเวลาประเทศไทย ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวขณะกลับมาจากวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เมืองแบทมินสเตอร์ มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ว่า เตรียมแต่งตั้งคนมารับตำแหน่งแทนแมคเอนทาร์เฟอร์ ในอีก 2-3 วันข้างหน้า

ด้านเจมีสัน กรีเออร์ หัวหน้าผู้แทนเจรจาการค้าของสหรัฐ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีบีเอสวันนี้ว่า การตัดสินใจไล่หัวหน้าบีแอลเอสออกมีเหตุผลมากกว่าแค่ตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาไม่ดี “ขนาดปีที่แล้วในระหว่างการเลือกตั้งตัวเลขการจ้างงานก็ยังผันผวนอย่างรุนแรงเลย ผมคิดว่าท่านประธานาธิบดีคงกังวลกับเรื่องนี้มาก”

“แม้ว่าตัวเลขในรายงานการจ้างงานจะมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขหลายครั้ง แต่เราก็อยากได้ตัวเลขที่มั่นน่าเชื่อถือในที่สุดแล้วก็เป็นอำนาจของท่านประธานาธิบดีในการกำหนดว่าใครจะนั่งเป็นหัวหน้าสำนักงานสถิติการจ้างงาน”

คณะกรรมการเฟดลาออกก่อนครบกำหนด

ในวันที่ 1 ส.ค. เอเดรียนา คูกเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดประกาศเตรียมลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระจริงในเดือน ม.ค. ปี 2569 จนสำนักข่าวตะวันตกจำนวนมากทั้งรอยเตอร์ส บลูมเบิร์ก และเดอะนิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า การลาออกครั้งนี้เปิดประตูให้ทรัมป์ส่ง “คนของตัวเอง” เข้าไปนั่งในตำแหน่งดังกล่าวเพื่อปรับทิศทางนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับความต้องการของเขามากขึ้น

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คูเกลอร์ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือนก่อนประชุม เธอออกมาให้สัมภาษณ์ว่า

“เฟดไม่ควรลดอัตราดอกเบี้ยไปอีกระยะหนึ่งเพราะผลกระทบจากภาษีเริ่มส่งผ่านไปยังราคาสินค้า”

อย่างไรก็ตาม ในหนังสือแถลงการณ์ลาออกของเธอไม่ได้ระบุเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับการลงจากตำแหน่ง และเฟดก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ประเด็นดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งเดียวที่ทราบคือการลาออกของเธอมีขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาที่ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กดดันเจอโรม พาวล์เวล ประธานเฟดอย่างหนักผ่านหน้าสื่อให้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดต้นทุนในภาคการผลิต  

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาทำงานในฐานะคณะกรรมการเฟดตั้งแต่เดือน ก.ย. ปี 2556 และรู้สึกเป็นเกียรติอเช่นกันที่ได้เข้ามาทำงานในช่วงเวลาที่ท้าทายที่ในต้องทำทั้งลดอัตราเงินเฟ้อและทำให้ตลาดการจ้างงานเข้มแข็ง” คูกเลอร์กล่าวในแถลงการณ์

‘เบอร์สอง’ ไอเอ็มเอฟลาออก เปิดทางทรัมป์ส่งคนของตัวเองนั่งเก้าอี้

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา กิตา โกปินาถ (Gita Gopinath) เจ้าหน้าที่ระดับรองอันดับสอง ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของตัวเองว่า เตรียมลาออกจากตำแหน่งในสิ้นเดือนส.ค. โดยให้เหตุผลไว้ว่าจะกลับไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

“หลังจากเกือบ 7 ปีที่น่าทึ่งใน IMF ฉันได้ตัดสินใจที่จะกลับไปสู่รากเหง้าทางวิชาการของตัวเอง ในวันที่ 1 ก.ย.  2025 ฉันจะกลับมาร่วมงานกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกครั้งในฐานะศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์” โกปินาถ โพสต์ผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ว่า

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานในบทวิเคราะห์ “IMF Deputy Gita Gopinath Set to Depart in Opening for Trump” ฉบับวันที่ 22 ก.ค. ว่า การลงจากตำแหน่งครั้งนี้เปิดโอกาสให้ทรัมป์ เสนอชื่อผู้สืบทอดตำแหน่ง และมีบทบาทในการกำหนดทิศทางขององค์กรให้กู้ยืมระดับโลกแห่งได้อย่างแน่นอน

ย้อนกลับไปในช่วงการประชุม IMF-WBG Spring Meeting ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ กลับไปพูดที่ บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) ซึ่งมีออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกับไอเอ็มเอฟและเวิลด์แบงก์ว่า ให้ทั้งสององค์กรกลับเข้ามาสู่พันธกิจเดิมขององค์กรที่ตั้งไว้ในช่วงปี 1944 คือ “ฟื้นฟูสมดุลของระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” ไม่ใช่มุ่งเน้นแต่เรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเบี่ยงเบนไปจากภารกิจ (Mission Creep) อย่างเรื่องจำพวกโลกร้อนหรือเรื่องเพศสภาพ

กำลังเกิดการ ‘รัฐประหารภายใน’ รีพับลิกัน  ?

สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์ส รายงานบทวิเคราะห์ "Trump Lashes Out at Charlamagne Tha God Over Epstein Comments" ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาโจมตี ชาร์ลามาญ ธา โกลด์ ดีเจและผู้ดำเนินรายการวิทยุชื่อดัง ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่เขาออกมากล่าวว่าการจัดการข้อมูลเรื่อง เจฟฟรีย์ เอปสไตน์ นักธุรกิจการเงินชาวอเมริกันที่กลายเป็นจุดสนใจของสื่อโลกเนื่องจากคดีอื้อฉาวทางเพศซึ่ง อาจมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลทรัมป์กำลังกระตุ้นให้เกิด “การรัฐประหาร” ภายในพรรครีพับลิกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากชาร์ลามาญ ได้ออกไปให้สัมภาษณ์ในรายการของฟอกซ์นิวส์

ทั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ ลาร่า ทรัมป์ ลูกสะใภ้ของประธานาธิบดี เป็นผู้ดำเนินรายการนี้ ซึ่งในรายการชาร์ลามาญกล่าวว่า “ผมคิดว่าพวกอนุรักษ์นิยมแบบดั้งเดิมกำลังจะยึดพรรครีพับลิกันคืนมา ผมคิดว่ามีการรัฐประหารทางการเมืองเกิดขึ้นในพรรครีพับลิกันตอนนี้ที่คนไม่ค่อยใส่ใจ”