'สงครามราคารถยนต์จีน' ตัวร้าย ซัพพลายเออร์หนี้ค้างพุ่ง 200 วัน

'สงครามราคารถยนต์จีน' ตัวร้าย ซัพพลายเออร์หนี้ค้างพุ่ง 200 วัน

สื่อแฉ 'สงครามราคารถยนต์จีน' ทำอ่วมทั้งอุตสาหกรรม ค่ายรถแบกหนักสินทรัพย์หมุนเวียนร่อยหรอ BYD ถึงขั้นติดลบ กดดันซัพพลายเออร์หนี้ค้างชำระพุ่งทะลุ 200 วัน

ในอดีตรัฐบาลจีนอาจจะเพิกเฉยต่อ "สงครามราคารถยนต์" ที่เริ่มขึ้นเมื่อปลายปี 2022 โดยค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐ Tesla Inc. ก่อนที่ค่ายรถยนต์จีนจะเล่นตามมากันทั้งอุตสาหกรรม และสงครามราคายังคงมีขึ้นตามมาอีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน เช่นครั้งล่าสุดที่ BYD เปิดฉากเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ค. 2025

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้สถานการณ์กำลังแตกต่างออกไป รัฐบาลส่งสัญญาณปรามผ่านสื่อของทางการจีนหลายครั้ง ก่อนจะดำเนินการตามมาอีกหลายอย่างเพื่อเบรกสงครามในรอบนี้ก่อนที่อาจจะ "พังกันทั้งอุตสาหกรรม" เมื่อสงครามราคากำลังทำให้งบดุลของอุตสาหกรรมตึงเครียด ขณะที่ปักกิ่งต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อปกป้อง "ซัพพลายเออร์" ในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เพราะสงครามราคานั้นสร้างบาดแผลเสมอ บริษัทรถยนต์เองต้องแบกจนเงินทุนหมุนเวียนลดฮวบ และที่สำคัญก็คือ บรรดาซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนเองอาจถึงขั้นล้มหายตายจากไปก่อน จากหนี้ค้างชำระที่ถูกขยายเวลาออกไปมาก

ไฟแนนเชียลไทม์ส รีเสิร์ช คำนวณจากรายงานงบการเงินล่าสุดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 16 รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า มีบริษัท "มากกว่า 1 ใน 3" ที่มี "หนี้สินหมุนเวียน" มากกว่า "สินทรัพย์หมุนเวียน"

ด้วยสภาพคล่องที่อ่อนแอลงนี้เอง จึงบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีนต้องกดดันซัพพลายเออร์อีกทอด เพื่อรักษาทุนหมุนเวียนและใช้เป็นเงินทุนในการต่อสู้เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด ท่ามกลางการแข่งขันของสงครามราคาอย่างดุเดือด

'สงครามราคารถยนต์จีน' ตัวร้าย ซัพพลายเออร์หนี้ค้างพุ่ง 200 วัน

BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในจีน มีเงินทุนหมุนเวียน "ติดลบ" มากที่สุด รองลงมาคือ Geely, Nio, Seres และ BAIC และ JAC ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล 

ขณะที่สินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิรวมของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 16 รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของจีน ลดลงเหลือ 1.043 แสนล้านหยวน (ราว 4.72 แสนล้านบาท) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 ซึ่งลดลงถึง 62% จากจุดสูงสุด 2.905 แสนล้านหยวน (ราว 1.3 ล้านล้านบาท) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021

หยิน ซินจื่อ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์จาก Citic Securities กล่าวว่า การลดลงของสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิบ่งชี้ถึงอัตราการเผาเงินสดที่เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหากตัวเลขติดลบ

“จากแนวโน้มขาลงในปัจจุบัน คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนจะเข้าสู่ช่วงการ 'คัดออก' ทั่วทั้งอุตสาหกรรม . . . อย่างช้าที่สุดในปี 2026” หยินเตือน “ในระหว่างกระบวนการนี้ จะมีบริษัทบางแห่งที่ล้มละลายเพราะวิกฤติสภาพคล่อง”

ถึงเวลารัฐบาลต้องแทรกแซง

ตลอดเดือนที่ผ่านมารัฐบาลปักกิ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการยุติสงครามราคาครั้งนี้ นอกจากการเตือนผ่านสื่อในมือ การประชุมกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศ 16 ราย และการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรถมือสองเลขไมล์ศูนย์ หรือรถใหม่เอี่ยมที่นำมาเป็นรถมือสองทันทีเพื่อลดราคาระบายของออกจากสต็อกแล้ว แหล่งข่าวสองรายที่เกี่ยวข้องเปิดเผยกับไฟแนนเชียลไทม์สว่า ทางการจีนยังได้ "ออกคำเตือนทางวาจา" เกี่ยวกับการลดราคาอย่างรุนแรงและปัญหา "การชำระเงินซัพพลายเออร์ที่ล่าช้า"  

ผู้ผลิตรถยนต์ถูกกดดันให้ชำระหนี้แก่ซัพพลายเออร์ภายใน 60 วัน จากเดิมที่มีการพบว่า บางบริษัทเคยขยายเวลาในการชำระหนี้ออกไปมากกว่า 200 วัน ในปีที่แล้ว 

'สงครามราคารถยนต์จีน' ตัวร้าย ซัพพลายเออร์หนี้ค้างพุ่ง 200 วัน

ในการประชุมระหว่างหน่วยงานของรัฐและผู้แทนบริษัทรถยนต์รายใหญ่เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุม ได้แก่ BYD, Geely, Xiaomi และบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่าง GAC และ FAW ต่างให้คำมั่นว่าจะชำระหนี้ภายในเวลา 60 วัน "เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับห่วงโซ่อุปทาน รถยนต์จีน"

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ Citi ระบุในรายงานว่า มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเพียงไม่กี่รายเท่านั้น เช่น BYD, Li Auto, Xpeng, Leapmotor และ Changan "ที่มีเงินสดสุทธิเพียงพอ" สำหรับการชำระหนี้ให้เร็วขึ้น 

ด้านนักวิเคราะห์รายอื่นๆ เช่น ไนเจล สตีเวนสัน จากบริษัท GMT Research ตั้งข้อสังเกตว่า BYD ใช้เงินทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนมากแทนที่จะใช้การกู้ยืม เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัท 

“การเติบโตเมื่อไม่นานมานี้ของ BYD ไม่ได้มาจากการกู้ยืมแบบเดิม แต่อาศัยเงินทุนที่มาจากทุนหมุนเวียน” สตีเวนสัน กล่าวและอ้างถึงแนวทางปฏิบัติของบริษัท เช่น การเลื่อนการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทด้วย “นั่นหมายความว่าหนี้สินที่วัดตามปกตินั้น อาจต่ำกว่าความเป็นจริง” 

ณ สิ้นปี 2024 สินทรัพย์หมุนเวียนของ BYD มีมูลค่า 3.71 แสนล้านหยวน น้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียนซึ่งอยู่ที่ 4.96 แสนล้านหยวน ส่งผลให้บริษัทขาดเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเป็น 1.254 แสนล้านหยวน (เกือบ 5.7 แสนล้านบาท) หรือสูงกว่าเมื่อสองปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มต้นสงครามราคาถึง 36%

ส่วนบริษัทคู่แข่งรายเล็กกว่า ได้แก่  Geely, Nio, Seres, BAIC และ JAC บันทึกการขาดเงินทุนหมุนเวียนรวมกัน 1.78 หมื่นล้านหยวน (ราว 8 หมื่นล้านบาท) เมื่อเปรียบเทียบกัน

เมื่อไม่นานมานี้ BYD ยังเผชิญแรงกดดันให้ชี้แจงตัวเลขทางการเงินและแนวทางดำเนินธุรกิจ หลังจาก "เว่ย เจี้ยนจวิน" ประธาน Great Wall Motor คู่แข่งสำคัญ เรียกร้องให้มีการตรวจสอบบัญชีครั้งใหญ่ครอบคลุมผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศทั้งหมด 

“Evergrande มีอยู่จริงในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนในขณะนี้ แต่ยังไม่ระเบิด” เว่ยให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่น โดยกล่าวถึงกรณีบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ที่ล้มละลายและกลายเป็นโดพิโนพังวงการอสังหาริมทรัพย์ในจีนไปด้วย 

อย่างไรก็ดี หลี่ หยุนเฟย หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ BYD ตอบกลับเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดียเพียงสั้นๆ ว่า “น่าประหลาดใจ” และระบุว่าหนี้สินที่มีดอกเบี้ยของบีวายดีอยู่ที่ 28,600 ล้านหยวนในปี 2024 ซึ่งต่ำกว่าของคู่แข่งอย่างจีลี่ที่ 86,000 ล้านหยวน และโฟล์กสวาเกนที่ 1 ล้านล้านหยวนอย่างมาก

“ยิ่งบริษัทเติบโตและมีรายได้สูงขึ้น ปริมาณการจัดซื้อและการทำงานร่วมกันก็จะยิ่งมากขึ้น” หลี่กล่าวต่อคำวิจารณ์เรื่องที่บริษัทขยายระยะเวลาชำระเงินออกไป


ที่มา: Financial Times