นโยบายทรัมป์ผลัก ‘นักศึกษาจีน’ ให้ละทิ้ง ‘American Dream’

นโยบายทรัมป์ผลัก ‘นักศึกษาจีน’ ให้ละทิ้ง ‘American Dream’

ภายใต้ยุคทรัมป์ ‘American Dream’ ซึ่งเคยดึงดูด ‘นักศึกษาจีน’ ให้ไปเรียนที่อเมริกา กำลังจางหายไป เมื่อนศ.จีนถูกเพ่งเล็งว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง วีซ่าถูกเพิกถอนโดยไม่มีคำชี้แจงใดๆ และมีร่างกฎหมายใหม่ที่อาจห้ามพวกเขาเข้าศึกษาต่อในสหรัฐ

ถ้าใครยังจำกันได้ ย้อนไปในช่วง “การแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกโลก 2024” ที่ประเทศอังกฤษ “ทีมชาติสหรัฐ” สามารถคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ เฉือนเอาชนะ “ทีมชาติจีน” ด้วยคะแนนห่างกันเพียง 2 คะแนนเท่านั้น ซึ่งถ้าดู “หน้าตา” ของทีมชาติสหรัฐจะพบว่า มีนักเรียนเชื้อสายจีนถึง 4 คน จากทั้งหมด 6 คน 

ที่ผ่านมา “อเมริกา” ถือเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของชาวจีนในการเรียนต่อ เพราะเป็นแหล่งโอกาสทางการศึกษาระดับโลก รวมถึงสามารถต่อยอดทางอาชีพให้ได้งานดี และรายได้ดีผ่านการสมัคร วีซ่า H-1B สำหรับลงหลักปักฐานในสหรัฐต่อไป ในขณะเดียวกัน อเมริกาก็ได้ “หัวกะทิ” เข้ามาพัฒนาประเทศด้วย

แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้วในยุคทรัมป์ “นักศึกษาจีน” ที่ไปเรียนในอเมริกากำลังถูกเพ่งเล็ง และสุ่มเสี่ยง “ถูกกีดกัน” จากสหรัฐ เนื่องจากทางการมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และกล่าวหาว่าเป็นสายลับจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน 

ล่าสุด วีซ่าของนักศึกษาจีนจำนวนมาก รวมถึงบางคนที่กำลังทำวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ชั้นแนวหน้าในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ถูกเพิกถอนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาโดยไม่มีคำชี้แจง

ยังไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดของนักเรียนจีนที่ได้รับผลกระทบได้ แต่จำนวนกำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน

นักศึกษาจีนมากกว่าสิบคนทั่วสหรัฐให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ว่า วีซ่านักเรียนของพวกเขาถูกเพิกถอนในสัปดาห์นี้ โดยในบางกรณี นักศึกษาได้รับแจ้งว่าสาเหตุคือความผิดเล็กน้อย เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจร

นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ในรัฐเพนซิลเวเนียกล่าวว่า เขาไม่ได้รับการแจ้งเหตุผลว่า ทำไมวีซ่าของเขาจึงถูกเพิกถอน เขากำลังทำงานร่วมกับทนายความเพื่อพยายามให้สถานะของเขากลับคืนมา “พวกเราจ่ายเงินมากมายเพื่อมาเรียนในสหรัฐ แต่กลับเจอฝันร้ายแบบนี้” นักศึกษากล่าว “ผมเสียใจที่มาที่นี่”

ไม่เพียงเท่านั้น นักศึกษาชาวจีนแซ่ซ่งในนครนิวยอร์กเผยว่า เธอกำลังหมกมุ่นกับการไล่ดูโพสต์ในโซเชียลมีเดียของตัวเองอย่างละเอียด เพื่อดูว่ามีโพสต์หรือการกดถูกใจใดๆ ที่อาจทำให้เธอมีปัญหาหรือไม่ เธอกล่าวว่าพ่อแม่ของเธอได้เร่งเร้าให้เธอกลับบ้านแล้ว “ฉันไม่เคยคิดเลยว่า ฉันจะต้องหวาดกลัวกับสิ่งที่ฉันโพสต์ที่นี่ในอเมริกา” เธอกล่าว

ในขณะเดียวกัน “ชุมชนนักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนในสหรัฐ” ก็ตกเป็นเป้าถูกสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ จนทำให้ภาพลักษณ์อเมริกาในฐานะดินแดนเสรีภาพและไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ได้ถูกตั้งคำถามขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ “ภาวะสมองไหลออกครั้งใหญ่” หรือไม่

American Dream ที่จางหายไป

คำว่า “American Dream” ถือเป็นแนวคิดประจำชาติที่เชื่อมั่นว่า ทุกคนล้วนมีอิสรภาพและโอกาสอันเปิดกว้าง ในการสร้างความสำเร็จและชีวิตที่ดีขึ้น โดยวัดคุณค่ากันที่ความสามารถและความมุ่งมั่นบากบั่น 

ในยุคทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาได้ไฟเขียวให้ตัดงบการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และกองทุนการศึกษาในหลายรายการ โดยอ้างว่าไม่จำเป็น รวมถึงขู่ตัดงบประมาณมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หากยังคงเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาประท้วงอิสราเอล เรื่องปฏิบัติการทางทหารที่มีต่อปาเลสไตน์

เหยา นักศึกษาจีนด้านชีววิทยาวัย 25 ปี ต้องเลื่อนการศึกษาปริญญาเอกออกไปก่อน เนื่องจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐถูกลดงบด้านทุนการศึกษา เธอจึงกลายเป็นหนึ่งในนักเรียนจีนจำนวนมากที่เริ่มมองหาประเทศอื่นแทน

“เดิมที ฉันเคยคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ปีนี้ฉันรู้สึกจริง ๆ ถึงผลกระทบของการเมืองที่มีต่อนักเรียนต่างชาติ” เหยาที่อาศัยอยู่ในเมืองชิคาโกกล่าว โดยเธอปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อมหาวิทยาลัยที่เธอตั้งใจจะเข้าเรียน

ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา นักศึกษาต่างชาติที่เรียนในสหรัฐมากที่สุด คือ “จีน” ก่อนจะถูกอินเดียแซงหน้าในปีที่ผ่านมา โดยในปี 2023 เพียงปีเดียว นักศึกษาจีนมีส่วนสร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจสหรัฐสูงถึง 14,300 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4.7 แสนล้านบาท ตามข้อมูลจากรายงาน Open Doors

แต่ในปัจจุบัน “ชุมชนชาวจีน” กลับถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “สายลับ” ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนส่งมา และยังเผชิญกับความเสี่ยงจากร่างกฎหมายที่อาจสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของสหรัฐได้อีกด้วย

ในการสัมภาษณ์นักศึกษาจีน 15 คนของสำนักข่าวรอยเตอร์ส ในจำนวนนี้ 8 คนยังคงอาศัยอยู่ในสหรัฐ โดยพวกเขาเล่าว่า ปัญหาที่ทับถมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้รู้สึกกังวลด้านความปลอดภัย และเพิ่มแรงกดดันทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนหลายคนต้องหันกลับมาทบทวน “ความฝันแบบอเมริกัน” ที่เคยวาดไว้ใหม่อีกครั้ง

นับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี มีนักเรียนกว่า 4,700 คนถูกลบชื่อออกจากฐานข้อมูลตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกส่งตัวกลับประเทศ

ข้อกล่าวหาว่าเป็นสปาย

เมื่อเดือนที่แล้ว คณะกรรมาธิการด้านจีนของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ส่งจดหมายไปยังมหาวิทยาลัย 6 แห่ง เพื่อขอข้อมูลนโยบายการรับนักเรียนจีนในโปรแกรมทักษะระดับสูง และสอบถามการมีส่วนร่วมของพวกเขาในทุนวิจัยจากรัฐบาลกลาง

จอห์น มูลีนาร์ ประธานคณะกรรมการฯ กล่าวว่า ระบบวีซ่านักเรียนของสหรัฐ ได้กลายเป็น “ม้าเมืองทรอยสำหรับปักกิ่ง” ที่คุกคามความมั่นคงของชาติ

ด้านกระทรวงต่างประเทศจีนตอบโต้ โดยเรียกร้องให้สหรัฐ “หยุดใช้ความมั่นคงของชาติเป็นข้ออ้างเท็จ” สำหรับมาตรการเลือกปฏิบัติ และมุ่งเป้าไปยังนักศึกษาจีน

ไม่เพียงเท่านั้น สมาชิกพรรครีพับลิกันยังได้เสนอร่างกฎหมายซึ่งเข้มงวดขึ้นไปอีก ในชื่อ “พระราชบัญญัติหยุดการสอดแนมจากคอมมิวนิสต์จีน ด้วยการคุ้มครองทางปัญญาด้านการศึกษา” (Stop Chinese Communist Prying by Vindicating Intellectual Safeguards in Academia Act) ที่จะระงับการออกวีซ่านักเรียนสำหรับพลเมืองจีน หรือก็คือ กีดกันไม่ให้นักเรียนจีนมาเรียนต่อที่สหรัฐ

ด้าน “Committee of 100” ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์กและประกอบด้วย “ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน” ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น ดร.เดวิด โฮ นักไวรัสวิทยาชื่อดังระดับโลกที่วิจัย HIV/AIDS ดร.สตีเวน ชู นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล และอดีตรัฐมนตรีพลังงานสหรัฐในรัฐบาลโอบามา ฯลฯ ได้โต้แย้งว่า ร่างกฎหมายนี้ “ทรยศ” ต่อค่านิยมของอเมริกา และทำให้ความเป็นผู้นำของสหรัฐในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอ่อนแอลง

ศาสตราจารย์เฉิน อี้หราน จากมหาวิทยาลัย Duke ให้ความเห็นว่า ความคิดที่ว่านักศึกษาจีนรีบกลับบ้าน เพื่อช่วยปักกิ่งแข่งขันกับสหรัฐนั้นเป็นเรื่องตรรกะวิบัติ

“ส่วนใหญ่ยังคงต้องการอยู่ในสหรัฐ” ศาสตราจารย์เฉินกล่าว “พวกเขามาจากครอบครัวชนชั้นกลาง พวกเขาจ่ายเงินหลายล้านหยวนสำหรับระยะเวลาหลายปีนี้ และพวกเขาต้องการคืนทุนที่ลงทุนไป”

“การสูญเสียนักศึกษาชาวจีนไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังอาจก่อให้เกิด ‘ภาวะสมองไหล’ ออกจากสหรัฐได้ด้วย” จูเลีย เจลาตต์ รองผู้อำนวยการโครงการนโยบายย้ายถิ่นฐานของสหรัฐกล่าว เธอยังกล่าวว่า “การบั่นทอนแหล่งกำเนิดของนวัตกรรมและศักยภาพนี้ อาจส่งผลร้ายต่อความรุ่งเรืองของประเทศเรา”

สมองไหลย้อนกลับ?

ในปัจจุบัน สถาบันการศึกษาในสหรัฐ และสหราชอาณาจักรยังเผชิญกับการแข่งขันจาก “มหาวิทยาลัยในจีน” ซึ่งมีอันดับในระดับโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“ชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นของมหาวิทยาลัยภายในจีน ควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของเงินทุนสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา กำลังทำให้สถาบันการศึกษาของจีนมีความน่าดึงดูดใจมากขึ้น” ปิ๊ปปา อีเบล ผู้เขียนรายงานเกี่ยวกับนักศึกษาจีนให้กับสถาบันวิจัยด้านการศึกษาของอังกฤษ HEPI กล่าว

หลี่ซึ่งเป็นหนึ่งในนักศึกษาเหล่านั้น หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในนครนิวยอร์กเป็นเวลาสามปี เธอตัดสินใจที่จะไม่สมัครกรีนการ์ดของสหรัฐที่ยุ่งยาก และเลือกที่จะย้ายไปฮ่องกงแทน เพื่อศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาและทำงาน

“เมื่อฉันตระหนักว่า ยังมีโอกาสอื่นๆ ในชีวิต ฉันก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้อีกต่อไป” หลี่กล่าว


อ้างอิง: reuterswsjกรุงเทพธุรกิจ