‘เรียนนอก’ ยากขึ้นแล้ว? MBA สหรัฐลดนศ.ต่างชาติลง สอดรับนโยบาย America First

‘เรียนนอก’ ยากขึ้นแล้ว? MBA สหรัฐลดนศ.ต่างชาติลง สอดรับนโยบาย America First

ความฝันนศ.ต่างชาติที่ต้องการเข้า MBA ชั้นนำ กำลังเลือนรางลงหรือไม่ เมื่อโรงเรียน MBA ในอเมริกาต่างพากัน ‘ลดจำนวน’ นศ.ต่างชาติลง ขณะเดียวกัน โอกาสในการทำงานหลังเรียนจบก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูงขึ้นกว่าเดิม

สำหรับใครหลายคน “อเมริกา” ถือเป็นแหล่งรวม “สถาบัน MBA” ระดับชั้นนำของโลก นักศึกษาต่างชาติไม่น้อยต่างใฝ่ฝันที่จะเรียนในประเทศแห่งนี้ โดยผู้สมัครหลักสูตรบริหารธุรกิจ ประจำปี 2026 ในสหรัฐ (ซึ่งเริ่มเข้าเรียนในฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา) ส่วนใหญ่ถึง 61% มาจาก “ต่างประเทศ” จนเป็นแหล่งรายได้สำคัญของมหาวิทยาลัย ตามข้อมูลจาก Graduate Management Admission Council

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอยู่นี้กำลังมาถึง “จุดเปลี่ยน” เมื่อมหาวิทยาลัยด้าน MBA ในสหรัฐต่างพากัน “ลดจำนวนนักศึกษาต่างชาติลง” และหันไปรับในประเทศมากขึ้นแทน ท่ามกลางนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์ที่จัดการผู้อพยพ ตัดลดเงินช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง USAID ไปจนถึงเข้มงวดกับการออกวีซ่า

สถาบัน MBA ที่พบการลดลงมากที่สุด เกิดขึ้นที่ Scheller College of Business ของมหาวิทยาลัย Georgia Institute of Technology โดยจำนวนนักศึกษาต่างชาติลดลงมากกว่า 1 ใน 3 และสัดส่วนของนักศึกษาต่างชาติในชั้นลดลงจาก 37% เป็น 24%

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ Tepper School of Business ของ Carnegie Mellon University, Darden School of Business ของ University of Virginia และ Booth School of Business ของ University of Chicago ก็ได้ลดจำนวนนักศึกษาต่างชาติในหลักสูตรธุรกิจบัณฑิตศึกษาลงอย่างมากเช่นกัน

ย้อนไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2023 McDonough School of Business ของมหาวิทยาลัย Georgetown  และ Kelley School of Business ของมหาวิทยาลัย Indiana  มีสัดส่วนนักศึกษาต่างชาติสูงที่สุดในบรรดาโรงเรียนชั้นนำ โดยมีนักศึกษาต่างชาติในชั้นเรียนปี 2025 มากถึง 59% แต่ในฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา สัดส่วนดังกล่าวลดลงเหลือ 49% และ 46% ตามลำดับ

สหรัฐอาจสูญเสียบทบาทฮับการศึกษา?

คำถามต่อมาคือ การมีนักศึกษาจากหลากหลายชาติในห้อง มีผลต่อการเรียนและมหาวิทยาลัยอเมริกาอย่างไร อย่างแรก คือ ช่วยเสริมมุมมองแปลกใหม่ด้านธุรกิจ เพราะโดยส่วนใหญ่ ห้องเรียน MBA ระดับปริญญาโท จะเป็นในลักษณะ “อภิปราย แลกเปลี่ยนความเห็น” ซึ่งนักศึกษาแต่ละคนจะแชร์ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา โดยครูเป็นผู้เสริม ดังนั้นสิ่งที่ได้เรียนรู้ ไม่ใช่จากคำบรรยายของครูเท่านั้นเหมือนระดับปริญญาตรี แต่ยังรวมถึงกรณี “ศึกษาธุรกิจ” จากเพื่อน ๆ ที่เรียนในห้องด้วย

อย่างที่สอง คือ นักศึกษาต่างชาติช่วยเติมเต็ม “ที่ว่าง” ในมหาวิทยาลัยอเมริกา จากการที่คนอเมริกันเข้าเรียนระดับปริญญาน้อยลง อีกทั้งสำหรับคนอเมริกัน หากอาศัยในรัฐเดียวกับมหาวิทยาลัยนั้น จะได้รับการลดหย่อนค่าเล่าเรียน ต่างจากชาวต่างชาติ ซึ่งหากไม่ได้ทุนการศึกษาช่วยแล้ว ก็จะจ่ายค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน จนเป็นแหล่งรายได้สำคัญของมหาวิทยาลัยอเมริกา  

ด้วยเหตุนี้ การที่ MBA ในสหรัฐลดนักศึกษาต่างชาติลง อาจส่งผลกระทบตั้งแต่มุมมองที่หลากหลายในห้องเรียน จากนักศึกษาต่างชาติที่มาจากภูมิหลังทางธุรกิจ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน รวมถึงมหาวิทยาลัยอเมริกันอาจสูญเสียความได้เปรียบในเวทีโลก ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในแวดวงการศึกษาธุรกิจจากมหาวิทยาลัยจากยุโรปและเอเชีย เช่น INSEAD, London Business School, มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์, มหาวิทยาลัยชิงหวา ฯลฯ

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดแรงงานสหรัฐ อาจเผชิญกับปัญหาขาดแคลนบุคลากรคุณภาพสูง เพราะนักศึกษาต่างชาติไม่น้อยเลือกทำงานในสหรัฐหลังเรียนจบ โดยเฉพาะในสาขาธุรกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

เรียนในอเมริกา เข้าสู่ยุคไม่แน่นอน

นอกจากลดจำนวนชาวต่างชาติลงแล้ว การหางานทำในสหรัฐต่อจากนี้ก็อาจยากขึ้นด้วย โดย Optional Practical Training (OPT) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติสามารถฝึกทำงานในสหรัฐได้นานสุดถึง 3 ปี หลังจบการศึกษา ก็อยู่ในความเสี่ยงที่อาจถูกจำกัดลง

ยังไม่นับรวมอนาคตวีซ่าทำงานชั่วคราวของชาวต่างชาติอย่าง “วีซ่า H-1B” ที่เป็นประเด็นการเมืองในขณะนี้ แม้อีลอน มัสก์ ออกโรงสนับสนุนให้คงไว้ เพื่อดึงคนเก่งจากทั่วโลกให้ไหลมาที่สหรัฐ แต่สตีเฟน มิลเลอร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายของทรัมป์คัดค้าน เพราะมองว่ามีส่วนให้ชาวอเมริกันตกงาน จากการที่บริษัทหันไปจ้างแรงงานต่างชาติผ่านวีซ่านี้แทน ขณะประธานาธิบดีทรัมป์เอง แม้เคยกล่าวสนับสนุนวีซ่า H-1B นี้ แต่เป็นที่รู้กันว่า เขามีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงได้  

ปีเตอร์ จอห์นสัน อดีตผู้ช่วยคณบดีของโปรแกรม MBA ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์กล่าวว่า คณะบริหารธุรกิจอาจเผชิญกับปัญหา หากการบริหารงานในปัจจุบันตัดสินใจจำกัดโปรแกรมฝึกงานทางเลือก (Optional Practical Training) 

สำหรับโปรแกรม OPT นี้ ผู้ที่มีวีซ่านักเรียนสามารถทำงานในสหรัฐได้ 1 ปีหลังสำเร็จการศึกษา แต่ผู้จบจากหลักสูตรสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) จะสามารถอยู่ในสหรัฐได้เพิ่มอีก 2 ปี อีกทั้งยังสามารถสมัครขอวีซ่า H-1B ได้อีกด้วย

จอห์นสันเสริมว่า “หากสหรัฐยกเลิกนโยบาย STEM สำหรับนักศึกษาต่างชาติ จะส่งผลกระทบตรงต่อโอกาสทำงานในสหรัฐ นักศึกษาต่างชาติหลายคนอาจหันไปเรียน MBA ในประเทศอื่นแทนหรือไม่ศึกษาต่อเลย”

บาร์บาร่า โควาร์ด ที่ปรึกษาด้านการสมัคร MBA เผยว่า มีลูกค้าชาวอินเดียจากเมืองบังกาลอร์ บอกกับเธอว่า “หากโปรแกรม OPT ถูกยกเลิก ทางเลือกเดียวของฉันคือ INSEAD และ London Business School” ซึ่งเป็นโรงเรียนธุรกิจนอกสหรัฐ

แม้ว่าทั้งทรัมป์และเจ้าหน้าที่บริหารงานชุดใหม่ยังไม่เคยพูดถึงเรื่อง OPT ต่อสาธารณะ แต่หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal เคยรายงานในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2020 ว่า การบริหารงานของ “ทรัมป์ชุดแรก” ได้วางแผนที่จะระงับโปรแกรมนี้ชั่วคราว และได้พยายามที่จะยกเลิกหรือลดขอบเขตโปรแกรมดังกล่าวตลอดช่วงระยะเวลาที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ซึ่ง “ทรัมป์ในสมัยที่สอง” นี้ จะกลับมาพิจารณาระงับ OPT หรือไม่ อาจต้องติดตามต่อไป  

นอกจากนี้ แม้คำสั่งบริหารของทรัมป์จะมุ่งเน้นไปที่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารและผู้ขอลี้ภัย แต่ก็มีสัญญาณว่า อาจมีการยกระดับเป็นการจำกัดการเข้าเมืองทุกรูปแบบ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ 

จะเห็นได้ว่า อนาคตของนักศึกษาต่างชาติที่ต้องการเรียน MBA และทำงานในอเมริกาหลังเรียนจบ กำลังเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้นกว่าเดิม แต่ขณะเดียวกัน อาจเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ หรือจีน สามารถก้าวขึ้นมาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักศึกษาที่สนใจศึกษาต่อด้าน MBA



อ้างอิง: bloombergกรุงเทพธุรกิจbusiness