สหรัฐกรุยทางสู่ ‘มหาอำนาจเอไอ’ ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่สุด

สหรัฐกรุยทางสู่ ‘มหาอำนาจเอไอ’ ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่สุด

ภายใน 24 ชั่วโมงแรกที่ทรัมป์ได้กลับสู่ทำเนียบขาว ก็ได้ส่งสัญญาณใหม่ไปยังอุตสาหกรรมเอไอให้ “เดินหน้าลุยเต็มที่” และทลายข้อจำกัดเดิมที่ขวางอยู่ พร้อมวางแผนสร้าง 'Stargate' โครงสร้างพื้นฐานเอไอที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์

หนึ่งในการพลิกขั้วนโยบายของรัฐบาลใหม่สหรัฐที่น่าจับตามองมากที่สุดก็คือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เพราะการยูเทิร์นนโยบายแทบจะ 360 องศา จากที่เคยยั้งมือเอาไว้ในยุคโจ ไบเดน เพราะประเด็นเรื่องจริยธรรมเอไอ มาในวันนี้ของยุคโดนัลด์ ทรัมป์ กลับกลายเป็นการพังทลายทุกข้อจำกัดและใส่เกียร์เดินหน้าเต็มที่ เพื่อปูทางให้สหรัฐขึ้นเป็น “มหาอำนาจเอไอ” ในอนาคตอันใกล้นี้

หากมองย้อนกลับไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนมองประเด็นเรื่องเอไอแบบพยายาม “หาจุดสมดุลอย่างรอบคอบ” เพื่อให้แน่ใจว่าสหรัฐจะก้าวล้ำหน้า “จีน” ในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องจำกัดหรือลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากเอไอ ตั้งแต่เรื่องเรื่องจริยธรรม ความปลอดภัย ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม

ทว่าภายใน 24 ชั่วโมงแรกที่ทรัมป์ได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ผู้นำคนใหม่ก็ได้ส่งสัญญาณใหม่ไปยังอุตสาหกรรมเอไอทั่วประเทศให้ “เดินหน้าลุยเต็มที่” และทลายข้อจำกัดเดิมที่ขวางอยู่

ทั้งนี้ ในยุคของไบเดน ผู้นำจากพรรคเดโมแครตมีคำสั่งฝ่ายบริหารในปี 2567 ให้ผู้พัฒนาระบบเอไอที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สาธารณสุข หรือความปลอดภัยของสหรัฐ จะต้องแชร์ข้อมูลผลการทดสอบความปลอดภัยกับรัฐบาลสหรัฐก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณะ ตามกฎหมายการผลิตเพื่อการป้องกัน (DPA) เนื่องจากยังคงมีกระแสความกังวลเกี่ยวกับเอไอในวงกว้างอยู่ ตั้งแต่เรื่องจริยธรรมเอไอไปจนถึงการถูกเอไอแย่งงาน

การตั้งกรอบของยุคไบเดนยังรวมไปถึงคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ กำหนดมาตรฐานสำหรับการทดสอบและจัดการความเสี่ยงด้านเคมีชีวภาพ รังสี นิวเคลียร์ และความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยคำสั่งของไบเดนออกมาในช่วงที่รัฐสภาสหรัฐยังไม่สามารถผ่านกฎหมายเพื่อกำหนดกรอบการพัฒนาด้านเอไอได้

ทว่าสิ่งแรกที่ทรัมป์ลงมือทำในวันแรกก็คือ “ทลายข้อจำกัดในยุคไบเดนที่ขวางทางการพัฒนาเอไอ” โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 20 ม.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ได้เพิกถอนคำสั่งบริหารของไบเดนในปี 2567 ซึ่งเป็นคำสั่งที่มุ่งลดความเสี่ยงของเอไอต่อผู้บริโภค แรงงาน และความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้ยังเป็นที่คาดว่า ทรัมป์จะมีการลงนามคำสั่งประธานาธิบดีฉบับใหม่ในด้านเอไอที่จะ “เสรีมากขึ้น” ตามมาด้วย

พรรครีพับลิกันเคยระบุในแนวนโยบายปี 2567 ว่าจะยกเลิกคำสั่งดังกล่าวที่พวกเขาอ้างว่าเป็นอุปสรรคต่อนวัตกรรมเอไอ พร้อมย้ำว่า “พรรครีพับลิกันสนับสนุนการพัฒนาเอไอที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพในการแสดงออก และความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์”

 

ผุดโปรเจกต์พลิกโฉม 5 แสนล้านดอลลาร์

ทรัมป์เดินเครื่องต่อทันทีในวันที่สอง โดยเชิญผู้นำ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีคือ มาซาโยชิ ซัน แห่งซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป คอร์ป (SoftBank), แซม อัลท์แมน แห่งโอเพนเอไอ (OpenAI) และแลร์รี เอลลิสัน แห่งออราเคิล คอร์ป (Oracle) มาที่ทำเนียบขาวเพื่อประกาศการจัดตั้งบริษัท “สตาร์เกต” (Stargate) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไอมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 17 ล้านล้านบาท)

ทรัมป์เรียกการลงทุนครั้งนี้ว่าเป็น “โปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานเอไอที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ” โดยทั้งสามบริษัทจะลงทุนเริ่มต้นก่อน 1 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะขยายเป็น 5 แสนล้านดอลลาร์ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่าโครงการนี้จะสร้างงานได้มหาศาลถึง 1 แสนตำแหน่งในสหรัฐ

เอลลิสันระบุว่า โครงการได้เริ่มต้นเฟสแรกไปแล้วกับการก่อสร้างโปรเจกต์ดาต้าเซ็นเตอร์ ขนาดพื้นที่ 1 ล้านตารางฟุต (ราว 58 ไร่) ในรัฐเท็กซัส ในขณะที่ผู้นำซอฟต์แบงก์ยกย่องโครงการดังกล่าวว่าเป็น “จุดเริ่มต้นของยุคทอง”

ทั้งนี้ บรรดาผู้นำอุตสาหกรรมเอไอได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายเดือนแล้วว่า จำเป็นต้องมีการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้น รวมถึงการผลิตชิป ไฟฟ้า และทรัพยากรน้ำเพื่อป้อนศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ให้สามารถขับเคลื่อนความทะเยอทะยานด้านเอไอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้

"ผมคิดว่านี่จะเป็นโครงการที่สำคัญที่สุดในยุคนี้” อัลท์แมนกล่าวเมื่อวันอังคาร "เราจะทำสิ่งนี้ไม่ได้เลยหากไม่มีคุณ ท่านประธานาธิบดี"

 

ต้องแซงจีนให้ขาดกว่านี้

สำหรับรัฐบาลทรัมป์และอาจรวมถึงหลายๆ คนในอุตสาหกรรมเอไอ ความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยนับเป็นปัจจัยสำคัญ “รองลงมาจากความกลัวว่าจีนจะแซงหน้า”

บลูมเบิร์กระบุว่าในการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ที่เมืองดาวอส รูธ โพรัธ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากอัลฟาเบธ กล่าวว่า ยังไม่สามารถฟันธงล่วงหน้าชัดเจนได้ว่าสหรัฐจะยังคงเป็นผู้นำเหนือจีนในการพัฒนาระบบเอไอที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ในขณะที่ซาราห์ ไฟรอาร์ ซีเอฟโอจากโอเพนเอไอ กล่าวว่า จีนกำลังมุ่งลงทุนในด้านนี้อย่างแน่นอน และเข้าใจดีว่าเอไอมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของพวกเขามากเพียงใด และมองว่า “เราไม่ควรไร้เดียงสาในเรื่องนี้”

รายงานข่าวในเซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ได้ชี้ให้เห็นความเคลื่อนไหวในฝั่งจีนที่ตอกย้ำเรื่องนี้ว่า บริษัทสตาร์ทอัพในจีนอย่าง ดีปซีก ได้เปิดตัวโมเดลเอไอเวอร์ชันปรับปรุงใหม่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งบริษัทอ้างว่าสามารถแข่งขันกับเทคโนโลยีของโอเพนเอไอจากฝั่งสหรัฐได้ และผู้ก่อตั้งบริษัทยังปรากฏตัวในการประชุมกับนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง ของจีนด้วย

อเล็กซานเดอร์ หวัง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท สเกล เอไอ ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ตอัปด้านการติดฉลากข้อมูล ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงทรัมป์เมื่อวันอังคารเกี่ยวกับการเอาชนะใน “สงครามเอไอ” ว่า ในเดือนที่ผ่านมา จีนมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านศักยภาพของเอไอเมื่อเทียบกับรัฐบาลสหรัฐ แต่ก็ยังเชื่อว่าทรัมป์มีทีมงานที่เหมาะสมที่จะรับมือกับความท้าทายนี้ และมั่นใจว่าสหรัฐจะรักษาความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บางรายในอุตสาหกรรมกลับกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากการเอาชนะในครั้งนี้

“นี่เป็นการเตรียมการสำหรับสหรัฐให้ได้ประโยชน์ในระยะสั้น แต่จะเจ็บปวดในระยะยาว” แฟรงค์ ปาสเกล ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลกล่าว 

ปาสเกลระบุว่า ทรัมป์กำลังเปิดทางให้ลงทุนในเอไอมากขึ้นและอาจมีการควบคุมน้อยลง แต่เขาเชื่อว่ายังมีเหตุผลที่ดีมากมายที่ควรจะกำหนดแนวทางป้องกันเอาไว้ เพื่อชี้นำบริษัทต่างๆ ให้หลีกเลี่ยงการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐอาจปล่อยให้บริษัทต่างๆ ตัดสินใจกันเองแล้ว