สำรวจเครื่องมือเจรจาของ 'อาเซียน' ต่อทรัมป์ ผ่าน 'ทฤษฎีสมุททานุภาพ'

สำรวจเครื่องมือเจรจาของ 'อาเซียน' ต่อทรัมป์ ผ่าน 'ทฤษฎีสมุททานุภาพ'

นักวิชาการชี้ อาเซียนมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ ที่สนองความต้องการควบคุมเส้นทางการค้าและโลจิสติกส์ทั่วโลกของสหรัฐได้ แต่ทุกประเทศต้องเจรจากันเพื่อเสริมความเป็นหนึ่งเดียวมากกว่านี้

หากย้อนกลับไปในช่วงหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว มีหลายคำพูดของเขาที่ทำให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหยอกล้อว่าอยากให้แคนาดาเข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา อยากเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก (Gulf of Mexico) เป็น อ่าวสหรัฐ

กล่าวหาว่าการตัดสินใจลงนามใน สนธิสัญญา ตอร์ริโฮส–คาร์เตอร์ (Torrijos-Carter) ยกช่องแคบปานามาให้ประเทศปานามาของ จิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นเรื่องที่ผิดพลาด หรือแม้กระทั่งความต้องการเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเขตปกครองตัวเองของประเทศเดนมาร์ก

หากพิจารณาประเด็นทั้งหมดแบบ “แยกส่วน” อาจไม่เห็นสิ่งที่สละสำคัญจากคำพูดเหล่านั้น ทว่าถ้าลองวิเคราะห์ความต้องการเหล่านั้นแบบ “องค์รวม” รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการ (ผอ.) บริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ทั้งหมดเป็นความต้องการของทรัมป์ในการขยายอาณานิคมสหรัฐรวมทั้งควบคุมเส้นทางการค้าและโลจิสติกส์ทั่วโลก (Sea Power)

นอกจากนี้ อีกหนึ่งสัญญาณที่อาจตีความได้ก็คือ ทรัมป์กล่าวถึงอดีตประธานาธิบดี วิลเลี่ยม แมคคินลีย์ ในคำกล่าวสุนทรพจน์วันสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมาว่าเขาเป็นประธานาธิบดีที่ทำให้สหรัฐรุ่งเรือง ซึ่งแมคคินลีย์มีชื่อเสียงในช่วงการดำรงตำแหน่งอยู่สองด้านคือ นโยบายขึ้นภาษีเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้สหรัฐและแนวคิดการล่าอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็น การยึดครองมะนิลาในฟิลิปปินส์ ยึดครองเปอร์โตริและต่อมาได้ผนวกฟิลิปปินส์ กวม และเปอร์โตริโกอย่างเป็นทางการ

 

ดังนั้น หากพิจารณาท่าทีของเขาทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว อาจหมายความว่าทรัมป์ต้องการขยายอาณานิคมของสหรัฐออกไปรวมทั้งส่งเสริมความสะดวกสบายของสหรัฐการในการค้าขายผ่านเส้นทางการเดินเรือ ตามที่แสดงให้เห็นจากความต้องการ “คลองปานามา” กลับมาเป็นของสหรัฐ โดยอ้างเหตุผลว่า สหรัฐเป็นผู้ใช้งานคลองปานามาสูงที่สุดอันดับหนึ่งและประเทศปานามาก็ยังเก็บค่าผ่านทางเรือขนส่งสินค้าสหรัฐในราคาที่สูง

อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีค่าผ่านทางที่สูง แต่สหรัฐก็จำเป็นต้องผ่านคลองดังกล่าวเพราะเป็นทางเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก รวมทั้งยังช่วยล่นเวลาเดินเรือหลายวันเมื่อเทียบกับการไปอ้อมจุดต่ำสุดของอเมริกาใต้

ดังนั้นหากตัดภาพมาที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายประเทศในอาเซียนที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐ รวมทั้งประเทศไทยที่เกินดุลการค้าสหรัฐมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 หรือคิดเป็นกว่า 20% รศ.ดร.ปิติ มองว่า แม้หนึ่งความท้าทายของประเทศไทยและอาเซียนคือการถูกทรัมป์ “เล่นงาน” ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าใส่ ทว่าหากพิจารณาความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ อาเซียนอาจหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็น “ไพ่ต่อรองได้”

ไพ่สำคัญอาเซียน

ประเด็นแรกคือ “ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นยุทธศาสตร์” อาเซียนตั้งอยู่ในจุดที่เป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะช่องแคบมะละกา ที่เป็นเส้นทางขนส่งพลังงานและสินค้าหลักระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีลักษณะช่วยล่นเวลาในการเดินเรือได้เหมือนกับฟังชันก์ของคลองปานามา

ส่วนประเด็นที่สอง คือ “การควบคุมจุดยุทธศาสตร์ทางทะเล” คือประเทศสมาชิกอาเซียนควบคุมเส้นทางเดินเรือ ที่สำคัญหลายแห่ง ประกอบด้วย ช่องแคบมะละกา (มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย) ช่องแคบซุนดา (อินโดนีเซีย) ช่องแคบลอมบอก (อินโดนีเซีย) รวมทั้ง ทะเลจีนใต้ (หลายประเทศสมาชิก)

ดั้งนั้น แม้มหาอำนาจอย่างสหรัฐจะมีเครื่องมือภาษีในการใช้เจรจา แต่การที่สหรัฐไม่สามารถควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญในภูมิภาคได้โดยตรง อาจทำให้ต้องพึ่งพาความร่วมมือจากประเทศในอาเซียน ซึ่งจะทำให้ทรัมป์ต้องปรับท่าทีในการเจรจาต่อรองกับภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะสามารถใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เป็นเครื่องมือเจรจา รศ.ดร.ปิติ กล่าวว่า อาเซียนจะต้องคิดอย่างรอบคอบว่าจะใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์นี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งต้องผลักดันการเจรจาจัดทำ Code of Conduct ซึ่งจะประกาศในปี 2045 ให้สำเร็จเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันก่อนการพูดคุย

ท้ายที่สุด ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของอาเซียนตามทฤษฎีสมุททานุภาพ หรือ Sea Power ทำให้ภูมิภาคนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดดุลอำนาจระดับโลก การที่อาเซียนควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญ ทำให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐต้องพิจารณาท่าทีและนโยบายต่อภูมิภาคอย่างรอบคอบ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำหรับอาเซียนคือการรักษาความเป็นแกนกลางและความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การเข้าใจและใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์อย่างชาญฉลาดจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ของภูมิภาคในระยะยาว