สเกล-ต้นทุน-นวัตกรรม! สูตรลับ EV จีน เอาชนะคู่แข่งทั่วโลก

‘อีวีจีน’ ผงาดโลก! ด้วยราคาเข้าถึงได้ง่าย ต้นทุนต่ำกว่า และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ทำให้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของผู้ผลิตรถรายใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป หรือญี่ปุ่น ต่างต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ดุเดือดครั้งนี้
KEY
POINTS
- “ตัวแบตเตอรี่” ต้นทุนหลักของรถ ถูกครองโดยบริษัทจีนที่ชื่อว่า CATL ในสัดส่วนสูงถึง 36.7% อันดับ 1 ของโลก ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของ BYD อยู่ที่สัดส่วน 16.4%
- รัฐบาลอเมริกาขึ้นภาษีรถอีวีให้สูงถึง 100% ในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้น อีวีจากค่ายจีนอย่าง BYD ก็ยังคงถูกกว่า Tesla ของสหรัฐ
- แม้แต่ Mercedes-Benz ก็เตรียมหันมาใช้แบตเตอรี่จาก BYD ที่ชื่อว่า “Blade Battery” ภายในปี 2568 ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าแบตเตอรี่เดิม
ท่ามกลางการรุกหนักของ “รถยนต์ไฟฟ้าจีน” ไปทั่วโลก สร้างความหวั่นเกรงให้ค่ายรถประเทศต่าง ๆ จน “ฮอนด้า” (Honda) และ “นิสสัน” (Nissan) สองยักษ์ค่ายรถญี่ปุ่น จับมือควบรวมกิจการครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อต่อกรกับค่ายรถจีน อีกทั้งโลกตะวันตกต่างขึ้นกำแพงภาษีอีวีจีนในอัตราที่สูงลิ่ว
อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทรถเทสลา (Tesla) เคยกล่าวไว้ว่า “อุตสาหกรรมรถของประเทศต่าง ๆ จะถูกรถจีนบดขยี้เกือบหมด ถ้าไม่ตั้งกำแพงภาษี”
นี่จึงเป็นคำถามตามมาว่า อะไรทำให้ “ค่ายรถจีน” เจิดจรัสขึ้นมาระดับแนวหน้า แม้แต่ยักษ์ Tesla ยังหวาดหวั่น พบว่ามี “3 จุดเด่น” ได้แก่
1. สเกล จีนเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากเป็นอันดับ 1 ของโลก สูงถึง 14 ล้านคันในปีนี้ ตามข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งแห่งประเทศจีน ซึ่งถือว่าครองส่วนแบ่งอีวีของโลกถึง 76% ด้วยปริมาณการผลิตที่สูงเช่นนี้ จึงทำให้รถอีวีจีนเป็นที่เข้าถึงง่าย และช่วยลดต้นทุนการผลิตจนต่ำกว่าคู่แข่งได้
2. ต้นทุน ไม่เพียงแต่ต้นทุนที่ต่ำจากการผลิตในปริมาณมาก รัฐบาลจีนยังให้เงินอุดหนุนรถอีวี เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันไปใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งในปัจจุบัน “ตัวแบตเตอรี่” ที่เป็นต้นทุนหลักของรถ ยังถูกครองโดยบริษัทจีนที่ชื่อว่า CATL ในสัดส่วนสูงถึง 36.7% มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของ BYD อยู่ที่สัดส่วน 16.4% ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัยด้านการตลาด SNE Research
3. นวัตกรรม หลายคนอาจเคยมองว่าสินค้าราคาถูกมักไม่ค่อยดี แต่อีวีจีนดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้น มีลูกเล่นนวัตกรรมแปลกใหม่ที่สู้กับรถยนต์ระดับหรูจากยุโรปได้ เช่น Xpeng’s G9 มาพร้อมเบาะนั่งที่เปลี่ยนเป็นเบาะนอนได้ หรือแม้แต่ Li Auto L9 Pro รถอเนกประสงค์ SUV ที่มีระบบอุ่นร้อนและตู้เย็นภายในรถ ขณะที่ BYD ATTO 3 มีหน้าจอเล่นเกมที่เชื่อมกับจอย PS5 ฯลฯ
ด้วยความโดดเด่นทั้ง 3 อย่างของค่ายรถจีนเช่นนี้ จึงทำให้ 3 ตลาดรถอีวีหลักของโลก อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ จนต้องปรับตัวครั้งใหญ่ดังนี้
1. ตลาดอเมริกา
ถึงแม้ว่าค่ายรถจีนยังไม่สามารถครองตลาดในอเมริกาได้ เพราะแบรนด์รถสหรัฐอย่าง GM, Ford และแบรนด์ญี่ปุ่นกำลังครองตลาดอยู่ แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าอย่างน่าเหลือเชื่อ จึงถูกทางการสหรัฐมองว่า เป็นภัยคุกคามอุตสาหกรรมรถในประเทศ โดยรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่าง BYD Seagull มีราคาเริ่มต้นที่ราว 11,400 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาอีวีสหรัฐเริ่มต้นที่ราว 15,000 - 50,000 ดอลลาร์ สะท้อนว่า รถจากจีนก็ยังคงถูกกว่าสหรัฐ แม้จะถูกเก็บภาษีที่ 27.5% แล้วก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอเมริกาจึงขึ้นภาษีรถอีวีให้สูงถึง 100% ในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้น อีวีจากค่ายจีนอย่าง BYD ก็ยังคงถูกกว่า Tesla ของสหรัฐ โดย BYD เสนอรถอีวีในราคาต่ำกว่า 25,000 ดอลลาร์ได้ ขณะที่ Tesla ซึ่งเป็นผู้นำตลาด ยังไม่สามารถทำราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ได้
โจ แม็คเคบ ซีอีโอของบริษัทวิจัยในสหรัฐ AutoForecast Solutions กล่าวว่า “ราคาต่ำสุดของ BYD ในสหรัฐอยู่ที่ 12,000 ดอลลาร์ แม้จะโดนภาษี 100% โดย BYD ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกที่สุดในตลาด ในราคาไม่ถึง 25,000 ดอลลาร์”
2. ตลาดยุโรป
หลายคนอาจเคยได้ยินกระแสข่าวค่ายรถยุโรปเจ็บหนัก เพราะสู้ราคารถจีนไม่ได้ โดย “โฟล์คสวาเกน” (Volkswagen) ยักษ์ใหญ่รถชื่อดังของเยอรมนีประกาศปิดโรงงานไม่ต่ำกว่า 3 แห่งในประเทศ ซึ่งเป็น “ครั้งแรก” ในรอบ 87 ปี และจ่อปลดคนงานนับหมื่นคน
ตามข้อมูลจาก JATO Dynamics บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรมยานยนต์ระบุว่า รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์จีนในยุโรปนั้นถูกกว่าแบรนด์ยุโรปเฉลี่ยถึง 24%
ที่น่าสนใจ คือ แม้แต่ Mercedes-Benz ค่ายรถหรูรายใหญ่ของเยอรมนี ก็เตรียมหันมาใช้แบตเตอรี่จาก BYD ค่ายรถชื่อดังของจีน ที่ชื่อว่า “Blade Battery” ภายในปี 2568 โดยแบตเตอรี่แบบใหม่นี้ระบายความร้อนได้เร็วกว่า ชาร์จไฟเร็วกว่า และมีประสิทธิภาพดีกว่าแบตเตอรี่เดิม เห็นได้ว่าค่ายรถเจ้าเก่าจากยุโรปยังต้องหันมาตามเทคโนโลยีจากจีน
ด้วยเทคโนโลยี และราคาที่เริ่มสู้อีวีจากจีนไม่ได้ สหภาพยุโรป (อียู) จึงลงมติตั้งกำแพงภาษีนำเข้าอีวีจีนสูงถึง 45% เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมรถในประเทศ
อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า “จีนส่งออกรถเข้ามาจนล้นตลาดอียู ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ผลิตรถอีวีในยุโรป เราพร้อมที่จะใช้มาตรการป้องกันทางการค้าอย่างเต็มที่”
3. ตลาดญี่ปุ่น
ที่ผ่านมา ค่ายรถญี่ปุ่นปรับตัวกับกระแสอีวีค่อนข้างช้า ซึ่งอาจมาจากการยึดติดกับ “ความสำเร็จเดิม” ของรถยนต์สันดาป จนกว่าค่ายญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลงก็สายเกินไปแล้ว ค่ายอีวีจีนรุกกลืนส่วนแบ่งของค่ายรถญี่ปุ่นสูงขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากยอดขาย BYD ของจีน แซงหน้า Honda และ Nissan จนกลายเป็นผู้ผลิตรถอันดับ 7 ของโลกตามจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ในไตรมาสสามของปีนี้
ไม่เพียงเท่านั้น Nissan ประกาศจะเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คนทั่วโลก เพื่อลดต้นทุน และลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% เพื่อรับมือกับยอดขายที่ตกลงในจีนและสหรัฐ ส่วน Honda เตรียมปลดพนักงาน 3,000 คนในจีนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2568 เนื่องจากเผชิญยอดขายรถที่ลดลง
นั่นจึงทำให้ Nissan กับ Honda ตัดสินใจเตรียมควบรวมกิจการกัน และอาจร่วมกับค่ายรถ Mitsubishi ด้วย เพื่อผนึกกำลังกันสู้ค่ายอีวีจีน ค่าย Tesla และค่ายใหญ่ญี่ปุ่นอย่าง Toyota ซึ่งคล้ายกับการที่ค่ายมือถือของไทย “ทรู” ควบรวมกับ “ดีแทค” เพื่อให้สู้กับ “AIS” ได้
นอกจากนี้ แม้แต่อุตสาหกรรมเครื่องกลญี่ปุ่น ก็หันมาโฟกัสกับอีวีมากขึ้นแทน จากแต่เดิมที่ยึดติดกับเครื่องยนต์สันดาป โดยเดิมที ญี่ปุ่นเป็นซัพพลายเออร์เครื่องมือกลรายใหญ่ที่สุดของโลกในทศวรรษ 1980 ตามข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตเครื่องมือเครื่องจักรญี่ปุ่น แต่ในปี 2009 ญี่ปุ่นถูกจีนแซงหน้า และปัจจุบันต้องแข่งขันกับเยอรมนีเพื่อชิงอันดับสอง
อ้างอิง: nikkei, nikkei(2), guardian, cne, กรุงเทพธุรกิจ, กรุงเทพธุรกิจ2, กรุงเทพธุรกิจ3, กรุงเทพธุรกิจ4