ไทยพร้อมรับมือแค่ไหน เมื่อภูมิรัฐศาสตร์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ

ไทยพร้อมรับมือแค่ไหน เมื่อภูมิรัฐศาสตร์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ

ความขัดแย้งในตะวันออกกลางโดยเฉพาะ อิหร่าน และ อิสราเอล มีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น จึงต้องตั้งคำถามว่าแล้วไทยที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิจะเตรียมการรับมืออย่างไร

ดูท่าแล้วสถานการณ์ในตะวันออกกลางคงไม่จบลงง่ายๆ เพราะหลังจาก “อิหร่าน” ใช้โดรนและขีปนาวุธกว่า 300 ลูก ถล่มโจมตีเป้าหมายทางทหารใน “อิสราเอล” ในช่วงคืนวันที่ 13 เม.ย.2567 ซึ่งถือเป็นการโจมตีที่หนักหน่วง ชนิดที่ว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐ ยังเอ่ยปากว่า “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” แม้การโจมตีครั้งนี้จะไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับอิสราเอลมากนัก แต่ล่าสุดมีรายงานว่า อิสราเอล ประกาศจะตอบโต้เอาคืนอิหร่านอย่างแน่นอน

โดย พล.ท.เฮอร์ซี ฮาเลวี เสนาธิการกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล หรือ “IDF” ระบุว่า อิสราเอลจะตอบโต้อิหร่าน แม้ว่าบรรดาชาติพันธมิตรต่างเรียกร้องให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เพราะไม่เป็นผลดี มีแต่จะทำให้สงครามขยายวงออกไปมากขึ้น ในขณะที่ ไบเดน กล่าวกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล โดยย้ำว่าสหรัฐไม่ขอมีส่วนร่วมและไม่สนับสนุนปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งเนทันยาฮูตอบกลับไปว่าเขาเข้าใจสหรัฐและเหล่าบรรดาชาติพันธมิตร

ส่วนทางด้าน อิหร่าน ก็ออกมาระบุชัดเจนเช่นกันว่า จะไม่มีวันอยู่เฉยหากอิสราเอลโจมตีอิหร่านอีกรอบ ซึ่งการตอบโต้รอบใหม่จะใช้ยุทธวิธีที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าเดิม ...สถานการณ์เหล่านี้บ่งบอกว่า สงครามในตะวันออกกลางมีแต่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะถ้าอิสราเอลกับอิหร่านเปิดหน้าโจมตีกันโดยตรงแบบนี้ คำถามคือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยจะเป็นอย่างไร เราเตรียมความพร้อมรับมือกับเรื่องเหล่านี้ไว้มากน้อยแค่ไหน

ทุกคนในโลกคาดหวังว่า ความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศนี้จะไม่รุนแรงหรือบานปลายไปมากกว่านี้ แต่ถ้าสถานการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจโลกย่อมรุนแรงด้วยแน่นอน เพราะอิหร่านถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ถ้าอุปทานน้ำมันส่วนนี้หายไปจะส่งผลต่อราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไทยในฐานะประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิย่อมได้รับผลกระทบทางตรงแบบหนักๆ ด้วยเช่นกัน

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ประเมินว่า ถ้าสงครามรุนแรงจนถึงขั้นอิหร่านต้องปิดช่องแคบฮอร์มุชตามที่เคยประกาศไว้ จะกระทบต่อการขนส่งน้ำมันทันที ซึ่งประเมินว่าอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทะลุระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไปจนถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ ดังนั้นรัฐบาลไทยควรต้องเร่งเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า ยิ่งเวลานี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็มีข้อจำกัดหลายๆ ด้านในการดูแลราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ดังนั้นถ้าราคาน้ำมันโลกปรับขึ้นร้อนแรง น่าจะเป็นโจทย์ท้าทายใหม่ที่รัฐบาลต้องเผชิญ