สินค้าอิงการเมืองขายดี รับเลือกตั้งทั่วประเทศอินเดีย

ก่อนถึงวันเลือกตั้งทั่วประเทศเฟสแรกจากทั้งหมด 7 เฟสของอินเดียในวันที่ 19 เม.ย.นี้ ชาวอินเดียนับพันล้านคนที่มีสิทธิเลือกตั้งจะออกไปลงคะแนนเสียง บรรดาผู้ผลิตสิ่งทอพากันปรับแท่นผลิตที่โรงงานหันไปผลิตเสื้อผ้าที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือ การเลือกตั้งเช่นธงเลือกตั้ง และป้ายหาเสียงที่ทำจากผ้าเป็นการชั่วคราว

ทั้งนี้ การเลือกตั้งของอินเดียแบ่งเป็นระยะที่ 1 วันที่ 19 เม.ย. ระยะที่ 2 วันที่ 26 เม.ย.ระยะที่ 3 วันที่ 7 พ.ค.ระยะที่ 4 วันที่ 13 พ.ค.ระยะที่ 5 วันที่ 20 พ.ค. ระยะที่ 6 ในวันที่ 25 พ.ค. และระยะที่ 7 ในวันที่ 1 มิ.ย.

มูเกช อะการ์วัล” เจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งเล่าว่า มีโรงงานประมาณ 40 แห่งในเมืองมาธูระ รัฐอุตรประเทศ ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรหนาแน่นและเป็นฐานเสียงการเมืิองที่สำคัญแห่งหนึ่งในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ หันมาผลิตสินค้าเพื่ิอรองรับความต้องการในช่วงเลือกตั้ง

“สิ่งของที่ราคาถูกที่สุดและดีที่สุดที่ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งคือธงและป้ายผ้า และคาดว่า ถ้าความต้องการยังสูงแบบนี้ โรงงานบางแห่งอาจผลิตธงมากถึงวันละ 1 ล้านผืน”อะการ์วัล กล่าว

อะการ์วัล ยังบอกด้วยว่า ชาวอินเดียจำนวนมากมีการศึกษาน้อย คงงานพรรคการเมืองต่างๆจึงใช้ธงเป็นเครื่องมือในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับพรรค โดยติดธงหน้าบ้านเพื่อให้เป็นสื่ิอในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

ศูนย์กลางอุตสาหกรรมสิ่งทอในเมืองสุรัต บ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียในรัฐคุชราช เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับเมืองเล็กๆอีกหลายเมืองอย่างมาธูระ ทางตอนเหนืิอและไฮเดอราบัดทางตอนใต้

ปีนี้ อินเดียใช้ระบบการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่าน “เครื่องลงคะแนนเสียงอิเล็กทรอนิกส์” (Electronic Voting Machines) หรือ EVM แทนการใช้บัตรลงคะแนน หลังจากการเลือกตั้งหลายครั้งก่อนหน้านี้ เผชิญปัญหาการทุจริตบัตรเลือกตั้ง เช่น บัตรเลือกตั้งเกินจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ ทั้งยังช่วยย่นระยะเวลาในการนับคะแนนหลังการเลือกตั้ง จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในอินเดียมีจำนวนเกือบ 1,000 ล้านคน การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้การนับคะแนนรวดเร็วขึ้น

ส่วนการประกาศการนับคะแนนจะมีขึ้นในวันที่ 4 มิ.ย. และคาดว่า การนับคะแนนจะรวดเร็วอีกเช่นกัน โดยเพียงนำเครื่อง EVM มาเชื่อมต่อเข้าระบบ คะแนนก็จะถูกส่งไปรวบรวมที่ส่วนกลาง ส่งผลให้การนับคะแนนทำได้รวดเร็วกว่าการนับบัตรเลือกตั้งทีละใบ และในปีนี้มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งราว 970 ล้านคน